สะดุ้งกลัวเพราะไม่รู้


        ท่านอาจารย์ กำลังสะดุ้งกลัวหรือเปล่า เพราะอาจจะคิดเฉพาะเรื่องตกใจ แต่ความจริงตั้งแต่เกิดมาเรากลัวอะไรบ้าง กลัวทุกอย่างที่จะไม่สวัสดี เพราะปรารถนาจะให้ตัวเองได้มีความดี ได้มีความสุข ได้มีความสบาย แต่ทั้งหมดก็เป็นเพราะรักตน ยังไม่เข้าใจสภาพธรรมะตามความเป็นจริง

        เพราะฉะนั้น แต่ละคนที่อ่านพระสูตรก็จะเก็บข้อความจากพระสูตรโดยนัยที่ต่างกัน อย่างเวลานี้ถ้าจะคิดว่า แล้วอยู่มาทุกวันเราสะดุ้งกลัวหรือเปล่า กลัวทุกวัน ตั้งแต่ตื่นมากลัวหมดเลย กลัวจะไม่แข็งแรง กลัวอาหารจะไม่อร่อย กลัวทุกอย่าง เป็นความสะดุ้งกลัวอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่เคยรู้เลยว่า ขณะนั้นเป็นอกุศล เพราะอะไรมาจากไหน แม้แต่ขณะที่เราอ่านพระสูตร สะดุ้งกลัวหรือเปล่าที่จะไม่รู้ ความไม่รู้ก็จะทำให้ได้รับภัยพิบัติต่างๆ เพราะความสะดุ้งกลัวต่อภัยทำให้เราต้องการพ้นจากภัย โดยการหาที่พึ่ง

        เพราะฉะนั้น ที่พี่งอื่นมีไหม คุณอรรณพจะพึ่งอะไร

        อ.อรรณพ พึ่งพระธรรม

        ท่านอาจารย์ ค่ะ ซึ่งต้องเข้าใจพระธรรมอย่างเดียว ไม่ใช่ไปทำอะไรเลย พึ่งเพื่อเข้าใจถูก เพื่อเห็นถูก ขณะใดที่เข้าใจถูก ขณะนั้นเป็นที่พึ่ง เพราะเหตุว่าเราจะไม่มีความหวาดกลัว หรือสะดุ้งกลัว เพราะว่าขณะนั้นเป็นความรู้ แต่เวลาที่สะดุ้งกลัวเมื่อไร เพราะไม่รู้ในขณะนั้น

        ด้วยเหตุนี้เมื่อเข้าใจถูก รู้ความเป็นจริงของสภาพธรรมะ ขณะนั้นไม่สะดุ้งกลัว เป็นธรรมดา เป็นธรรมะ มีปัจจัยก็เกิดขึ้น ไม่ใช่ของใคร ถ้าไม่มีปัจจัยจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย

        เพราะฉะนั้น ทุกขณะเป็นไป เป็นแล้วก็ไปอยู่ตลอดเวลาตามเหตุตามปัจจัยซึ่งเลือกไม่ได้เลย และเป็นไปอย่างนี้ตั้งแต่เกิด เมื่อเช้านี้ก็เป็นไป เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ก็เป็นไป อยู่ที่เราจะสะดุ้งกลัว หรือเราเข้าใจถูกต้องที่รู้ว่า ไม่มีเราที่จะไปสะดุ้งกลัวอะไรเลย แต่มีความไม่รู้กับความรู้ ซึ่งขณะใดที่ไม่รู้ ขณะนั้นพ้นความกลัวไม่ได้เลย เพราะไม่รู้ตามความเป็นจริงว่า มีอะไรที่ไหน นอกจากสิ่งที่มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่เหลืออะไรเลย ไปแล้วไปลับ ไม่กลับมาอีกเลยสักอย่างเดียว แล้วยังจะหวังอะไร แล้วยังจะเยื่อใยอะไร แล้วยังต้องการให้เป็นอะไร เพราะว่าที่จริงแล้ว ก็มี ๒ อย่าง คือ เป็นไม่รู้ความจริง กับ เป็น รู้ความจริง เท่านั้นเอง

        ถ้าคิดว่า เดี๋ยวไปนรก ไม่นานเลยค่ะ เดี๋ยวไป กลัวไหมคะ แต่ถ้าเข้าใจถูกต้องก็ทำให้สามารถรู้ความจริงว่า ไม่มีเราไป แต่ธรรมะที่จะไปสู่นรก คือ อกุศลธรรม

        เพราะฉะนั้น ก็เริ่มเข้าใจธรรมะตามความเป็นจริงที่ต้องตรง คือว่าไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรมะที่เกิดขึ้น บังคับไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ จะให้ดีไปตลอดก็ไม่ได้ เพราะเหตุว่าธรรมะเป็นธรรมะ แล้วแต่ว่าขณะนั้นมีปัจจัยที่จะทำให้ธรรมะประเภทไหนเกิด ธรรมะประเภทนั้นเกิดโดยที่ใครก็ไม่ได้ทำ จะหวังไม่ให้เกิดก็เกิด

        เพราะฉะนั้น หนทางเดียวจริงๆ ก็คือปัญญา เกิดปัญญารู้ความจริงเมื่อไร ขณะนั้นก็เบาบางจากการสะดุ้งกลัว แต่ต้องไม่ลืมว่า เดี๋ยวไปนรก ตราบใดที่ยังไม่รู้อริยสัจธรรม คือ เดี๋ยวนี้ค่อยๆ เข้าใจขึ้นตามความเป็นจริง

        เพราะฉะนั้น บุคคลที่จะพ้นจากอบายภูมิ ไม่ใช่เฉพาะนรก เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นเปรต เป็นอสุรกาย ไม่มีโอกาสได้ฟังธรรมะแล้วเข้าใจ

        เพราะฉะนั้น ประโยชน์จริงๆ ของการเกิดมามีชีวิต ก็คือขอให้ได้เข้าใจธรรมะ อย่างความปรารถนาของพระเจ้าพิมพิสารซึ่งสำเร็จ ก็ต้องความปรารถนาว่า ขอให้รู้ทั่วธรรมะที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง

        ขณะนี้เป็นธรรมะทั้งหมด ไม่ได้รู้ทั่ว และบางคนไม่คิดจะรู้ด้วย จะรู้ไปทำไม ไปทำอะไรก็ได้ หวังว่าจะรู้ แต่ไม่จริง เพราะเหตุว่าทุกขณะเป็นธรรมะแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นเป็นอย่างนี้ แล้วก็หมดไป แล้วจะเลือกรู้บางอย่างก็คือไม่ตรง ไม่สามารถจะรู้ความจริงได้ ถ้าเลือกคือเราเลือก แล้วไม่เห็นประโยชน์ด้วยว่า ขณะที่เลือกเพราะอวิชชา เพราะไม่รู้ตามความเป็นจริงว่า เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างขณะนี้มีจริงๆ แล้วจะไปเลือกรู้ได้อย่างไร แต่ปรารถนาจะรู้ทั่วธรรมะที่ทรงแสดงซึ่งก็เป็นความจริงในขณะนี้

        เพราะฉะนั้น แต่ละคนฟังธรรมะก็แล้วแต่การไตร่ตรองว่า ได้ฟังสูตรนี้แล้วคิดอย่างไร แล้วสูตรอื่นๆ ที่ได้ฟังมาก็แสดงให้เห็นความจริงว่า ทั้งหมดขึ้นอยู่กับการมีโอกาสได้ฟัง และได้เข้าใจ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวก็ไปนรก


    หมายเลข 10083
    30 ธ.ค. 2566