โลกของปัญญา


        ท่านอาจารย์ ไม่เหลืออะไรในโลกนี้ที่จะตามไปได้เลย โลกก่อนมีเยอะใช่ไหมคะ โลกก่อนมีอะไรบ้าง มีพ่อ มีแม่ มีเพื่อน มีทุกสิ่งทุกอย่าง มีทรัพย์สมบัติ แล้วพ่อแม่ พี่น้อง เพื่อนฝูง ทรัพย์สมบัติของชาติก่อน โลกก่อนอยู่ไหน ตามมาชาตินี้ได้ หรือเปล่า

        เพราะฉะนั้น การฟังธรรมะ คือให้ฟังความจริงแล้วเข้าใจ แม้คำเดียว ก็ลืมไม่ได้ เช่น อนัตตา แต่ก็ห้ามไม่ได้ ได้ฟังแล้วก็ลืม เป็นอัตตา เป็นเราไปเสียทุกครั้ง เพราะเหตุว่ายังไม่ได้เข้าใจจริงๆ ในลักษณะของสภาพธรรมะแต่ละหนึ่ง ซึ่งด้วยการประจักษ์แจ้ง ซึ่งใช้คำว่า ตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประจักษ์ความจริงว่า ขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏเกิดขึ้นแล้วดับไปแต่ละหนึ่ง ไม่ได้ปะปนกันเลย เห็นขณะนี้ไม่รู้จักได้ยิน ใช่ไหมคะ เห็นเกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับไป ได้ยินเกิดขึ้นได้ยิน ไม่รู้จักคิดนึก ไม่มีใครรู้จักใคร ไม่มีอะไรเลยที่จะไปรู้กันได้ เพราะว่าแต่ละหนึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

        เพราะฉะนั้น สภาพธรรมะหลากหลายมาก ยิ่งฟังยิ่งรู้ว่าไม่มีเรา เพราะทุกอย่างที่ปรากฏสามารถแยกออกเป็นธรรมะแต่ละหนึ่งซึ่งไม่รวมกันเลย แต่เมื่อไม่รู้ความจริงอย่างนี้ก็ต้องฟังเรื่องของสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ให้ละเอียดขึ้น ให้เข้าใจขึ้น โดยที่ขณะที่กำลังได้ยินได้ฟังอะไร จริงอย่างที่ได้ยิน หรือเปล่า เช่น เสียงหมดแล้ว ไม่ได้รู้เลยว่า ขณะที่เสียงปรากฏเป็นโลกๆ หนึ่ง คือ เสียงกับได้ยิน มิฉะนั้นโลกไม่ได้ปรากฏ ขณะที่ปัญญาไม่ได้รู้ความจริง เป็นอย่างหนึ่งแน่นอน คือ เป็นสิ่งที่เกิดดับสืบต่อเร็วสุดจะประมาณได้ จนกระทั่งรวมกันหมดเลย เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นวัตถุสิ่งต่างๆ เพื่อแสดงให้เห็นว่า จิตเกิดดับเร็วขนาดไหน เห็นไหมคะ ขณะที่รู้เฉพาะเสียง มีแต่เสียงกับได้ยิน เห็นไม่มี คิดนึกไม่มี แต่ยังไม่เป็นอย่างนี้เลย

        เพราะฉะนั้น โลกที่ปรากฏกับอวิชชา และความติดข้องปิดบังไม่ให้รู้ความจริงว่า แท้ที่จริงแล้ว โลกของปัญญาต่างจากโลกนี้อย่างสิ้นเชิง เพราะเหตุว่าเมื่อเป็นความจริงอย่างนี้ โลกจริงๆ ต้องเป็นอย่างนั้น คือไม่มีโลกใหญ่ๆ มีคนเยอะๆ มีแผ่นดิน มีภูเขา มีแม่น้ำ แต่มีสิ่งที่เพียงปรากฏ เพราะมีธาตุรู้เกิดขึ้นรู้แล้วก็ดับไป เร็วสุดจะประมาณได้ เพราะอะไรคะ เพราะขณะนี้ถามว่าเห็นไหม เห็นอะไร มากมาย ไม่มีใครตอบว่าเห็นอย่างเดียวเลย คนกี่คนในห้องนี้เห็นหมด โต๊ะ เก้าอี้ ข้างฝามีอะไรเห็นหมด นี่ หรือที่เป็นโลกจริงๆ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้

        เพราะฉะนั้น โลกที่ปรากฏเป็นอัตตา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด รวมกันเป็นแต่ละหนึ่งที่นั่นบ้าง ที่นี่บ้าง ก็เพราะการเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วที่สุดของธรรมะ และความจริงธรรมะคือสิ่งที่มีจริงมี ๒ อย่าง สภาพหนึ่งเกิดขึ้นไม่รู้อะไรทั้งสิ้น ถ้าจะกล่าวว่าโลกดอกกุหลาบมืดไหม ตัวดอกกุหลาบมืดไหม ดอกกุหลาบก็ไม่รู้อะไร มีคนเรียกว่า ดอกกุหลาบ ดอกกุหลาบก็ไม่รู้ เพราะไม่ใช่มีดอกกุหลาบจริงๆ แต่มีธรรมะซึ่งเกิดขึ้น ซึ่งเราขณะนี้ไม่รู้เลยว่า ที่เราเห็นดอกกุหลาบ ความจริงดอกกุหลาบอยู่ที่ไหน อาจจะบอกว่า อยู่บนโต๊ะ แต่ความจริงที่เป็นดอกกุหลาบไม่ใช่โต๊ะ ใช่ไหม ดอกกุหลาบอยู่บนโต๊ะ แสดงว่าดอกกุหลาบไม่ใช่โต๊ะ แล้วก็เห็นโต๊ะ แล้วก็เห็นดอกกุหลาบ ทำไมรู้ว่าเป็นดอกกุหลาบ ทำไมรู้ว่าเป็นโต๊ะ ถ้าสิ่งที่ปรากฏทางตาไม่หลากหลายด้วยสีสันวัณณะต่างๆ ก็ไม่สามารถจะรู้ได้เลยว่า นี่เป็นดอกกุหลาบ นี่เป็นโต๊ะ มืดหมด ไม่รู้ว่าเป็นอะไร สีขาวสีเดียวหมด ไม่รู้ว่าเป็นอะไร แต่เพราะเหตุว่าหลากหลายมาก สีต่างๆ รูปร่างสัณฐานต่างๆ ทำให้เห็นสิ่งที่ปรากฏต่างๆ ทำให้เกิดความจำว่า เป็นสิ่งนั้นบ้าง สิ่งนี้บ้าง แต่ว่าตามความเป็นจริงขณะใดก็ตามที่เห็น ถ้าเป็นโลกแท้จริงของเห็น ขณะนั้นจะมีอย่างอื่นปะปนรวมกันไม่ได้เลย

        เพราะฉะนั้น เวลาที่เห็นเป็นดอกกุหลาบ เห็นเป็นคน เห็นเป็นโต๊ะ เหมือนพร้อมกัน หรือเปล่าคะ

        ผู้ฟัง เหมือนพร้อมกันเลย

        ท่านอาจารย์ แสดงความไม่รู้ว่า ตามความจริงพร้อมกันไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ความไม่รู้มากแค่ไหน นานแค่ไหน และต่อไปอีกแค่ไหน

        เพราะฉะนั้น กว่าจะค่อยๆ รู้ ค่อยๆ เข้าใจ ก็สามารถรู้ได้เลยว่า ไม่สามารถจะฟังครั้งเดียวแล้วก็เข้าใจพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และทรงแสดงแต่ละคำได้ เช่นคำว่า “อนัตตา” ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ยั่งยืน แค่นี้ก็เป็นดอกกุหลาบตั้งนานแล้ว เป็นโต๊ะตั้งนานแล้ว แล้วไม่ยั่งยืนได้อย่างไร แต่ถ้าเข้าใจเพิ่มขึ้นเมื่อไรก็จะเห็นพระปัญญาคุณ และรู้ว่าจริง จนกระทั่งบุคคลนั้นสามารถอบรมเจริญปัญญา เพราะมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระมหากรุณาแสดงให้ได้ยินได้ฟัง แม้แต่คำว่า “อนัตตา” แล้วก็ยังมีธรรมะที่สามารถค่อยๆ อบรมจนกระทั่งสามารถเข้าใจตามที่ได้ฟัง เพราะเหตุว่าเพียงฟังเข้าใจไม่พอต่อการนับถือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่อเมื่อได้ฟังเข้าใจขึ้นๆ ว่าเป็นความจริง พระธรรมที่ทรงแสดงเป็นความจริงทุกอย่าง ปัญญาที่สามารถเข้าใจธรรมะก็อบรม เข้าใจขึ้นเมื่อได้ฟังพระธรรม อบรมไปจนถึงการดับกิเลส ความไม่รู้ ซึ่งเคยไม่รู้ว่า เดี๋ยวนี้สภาพธรรมะปรากฏเพียงทีละหนึ่ง ไม่ได้ปรากฏรวมกันอย่างนี้เลย

        เพราะฉะนั้น โลกของความจริงกับโลกของความไม่จริงต่างกัน ถ้าโลกของความจริงก็มีแต่เพียงหนึ่ง


    หมายเลข 10116
    18 ก.พ. 2567