เวลาที่ป่วยหนักมักจะเห็นคนที่จากไปแล้วมาปรากฎ


        กุล. ดิฉันได้สนทนากับสหายธรรม ก็มีเพื่อนที่ป่วยพักฟื้นอยู่แต่เนื่องจากความที่เขาเป็นคนค่อนข้างที่จะมีความเชื่อในเรื่องที่คนไทยเชื่อกันมานานเรื่องของความกลัวในความตาย และก็เวลาที่ป่วยขึ้นมา ก็จะเหมือนมีลางสังหรณ์ให้เห็นทางตา ซึ่งเขาก็จะครุ่นคิดไปถึงเรื่องที่ว่าจะเห็นเหมือนกับมีนิมิตที่ปรากฏทางตา และก็เห็นว่าเป็นบุคคลหนึ่งบุคคลใดที่จะมาพรากชีวิตเขาไป มิตรสหายที่ศึกษาที่มูลนิธิก็อยากจะเกื้อกูลให้เขามีความเข้าใจถูกง่ายๆ ในสภาพธรรมที่ปรากฏ และมั่นคงในเหตุ และผล ก็จะกราบเรียนท่านอาจารย์ เพราะว่าจะเป็นแนวทางให้สหายธรรมสามารถที่จะไปอธิบายเพื่อนให้เข้าใจถึงสิ่งที่กำลังปรากฏในชีวิตประจำวัน

        สุ. ถ้าทำให้คนที่ไม่รู้อะไรเลยสามารถที่จะหมดความกลัวได้นี่คงต้องเก่งมากเลย แล้วจริงๆ แล้วทุกเหตุการณ์เราไม่จำเป็นที่จะต้องยกธรรมขึ้นมาทั้งหมด หรือว่ายกข้อความที่เป็นธรรมขึ้นมาแล้วก็ให้เขาเข้าใจ อย่างเหตุการณ์ในโลกนี้ทั้งหมดมีใครบ้างที่ไม่รู้เรื่องความเปลี่ยนแปลง ความไม่คงที่ ความไม่แน่นอนของชีวิต จะมีข่าวคราวเสมอ ภัยพิบัติต่างๆ เกิดขึ้นโดยไม่ได้คาดหมาย ภาคหนึ่งภาคใด ภาคใต้ภาคเหนือก็แล้วแต่ หรือแต่วงศาคณาญาติ รถชน อุบัติเหตุทั้งหมด เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่แน่นอนก็คือว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่เที่ยง ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ถ้าให้เขามีความเข้าใจพื้นฐานว่า แม้ว่าเราอยากจะมีความสุข แต่ความสุขก็ไม่ได้เกิดเพราะความอยาก ไม่มีใครอยากจะมีความทุกข์เลย แต่ความทุกข์ก็ต้องเกิดเมื่อมีเหตุปัจจัย เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ค่อยๆ ให้เขาเข้าใจความจริง ไม่ใช่เป็นแต่เพียงการปลอบใจ แต่ว่าเป็นความจริงแท้ก็คือว่าไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาอะไรได้ และทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่เที่ยง ไม่ใช่ว่าจะคงที่อยู่ตลอดไป เพราะฉะนั้นก็ต้องให้เขาเข้าใจถูกว่าเขาคิดอย่างนี้ถูกต้องหรือเปล่า ที่จะคิดว่ามีอะไรก็ตามที่มีทำให้เป็นไปอย่างนั้น แล้วถ้าอย่างนั้นตอนฝันทุกคืนเป็นยังไง ก็ฝันอยู่แล้ว นิมิตหรือเปล่า แล้วจะทำให้เกิดอะไรขึ้น ก็เป็นเรื่องยากที่จะทำให้คนที่ไม่ได้มีพื้นฐานของความเข้าใจธรรมจะหมดความกลัวได้ เพราะเหตุว่าจริงๆ แล้วยังมีความเป็นเรา และความเป็นตัวตนซึ่งเรื่องนี้ยากที่จะเข้าใจ แต่ว่าเป็นความจริง เพราะฉะนั้นสำหรับคนที่มีฉันทะ มีศรัทธาที่ได้ฟังพระธรรมมาแล้ว จะเป็นสิ่งที่ทำให้เขาเห็นความน่าอัศจรรย์ของสิ่งซึ่งเคยยึดถือว่าเป็นเรามาตลอด แท้จริงไม่เหลืออะไรเลยสักขณะเดียว และก็เป็นสิ่งซึ่งเราก็ควรจะสนทนากับผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจแล้วให้เข้าใจขึ้น แต่สำหรับคนที่กลัวแล้วก็ยังไม่มีเหตุผล ก็ต้องค่อยๆ สนทนาให้เขาค่อยๆ เข้าใจว่าสิ่งที่เขาเห็นเมื่อไหร่จะทำให้เป็นความจริงอย่างนั้น เขาบอกได้ไหม

        กุล. ท่านอาจารย์หมายความว่าอย่างไรคะ

        สุ. เขากลัวนิมิตใช่ไหม

        กุล. ค่ะ

        สุ. นิมิตนั้น เขาคิดว่าจะเป็นความจริงใช่ไหม

        กุล. ก็ตามความเชื่อ

        สุ. แล้วเมื่อไหร่จะเกิดจริงขึ้นมาสักที ก็มีตั้งหลายวันแล้ว บอกได้ไหมว่าเมื่อไหร่ ก็แสดงให้เห็นว่าสิ่งนั้นเป็นแต่เพียงความคิด จะเกิดหรือไม่เกิดก็ยังไม่รู้เลยเหมือนความฝัน นิมิตก็คือความฝัน สิ่งที่เขาเห็นในฝันกับสิ่งที่เป็นนิมิต ไม่ใช่สิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นถ้าความฝัน เขาเชื่อความฝัน เขาก็เชื่อนิมิตนั้น เพราะฉะนั้นนิมิตนั้นก็เท่ากับความฝันหรือเหมือนกับความฝันซึ่งเขาไปผูกใจคิดว่าต้องเป็นจริง ถ้าเขาเชื่อในนิมิตว่าต้องเป็นจริง เขาก็ต้องเชื่อฝันว่าเป็นจริงด้วยซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย ก็คงจะพูดได้ทีละเล็กทีละน้อย

        ธิ. อย่างปัญหาของท่านผู้ถาม ถ้าหากว่าจะไปอธิบายให้เขาเข้าใจว่ามันเป็นความคิดจากความกลัวของเขาอย่างนั้นได้ไหมคะท่านอาจารย์

        สุ. ได้ ทุกอย่างที่จะช่วย ที่จะทำให้เขาเข้าใจขึ้นว่ามันไม่ใช่ความจริง แล้วมันจะเป็นจริงได้ยังไง มีเหตุอะไรที่จะทำให้เป็นจริงไปได้ ถ้านิมิตนั้นสามารถจะทำให้เป็นจริงได้ ความฝันทุกคนก็ทำให้ทุกคนต้องเป็นไปตามฝันซึ่งมันก็ไม่จริงใช่ไหม ก็เสียเวลาไปคิด ถ้าทำอย่างนี้อาจจะทำให้เขาเข้าใจได้ว่าเขาเสียเวลาที่จะไปคิดเรื่องนิมิตที่ทำให้เขากลัว

        ธิ. คือตรงนี้ก็ย้อนกลับมาให้เห็นประโยชน์ว่าถ้าเป็นผู้ที่ศึกษาธรรม เข้าใจในเหตุ และผลของธรรม และก็มั่นคงในกรรม และผลของกรรม ความกลัวจนเกิดนิมิตหลอน หรือว่ากลัวตายจนเกิดเห็นภาพต่างๆ ก็คงจะไม่เกิดขึ้น ถ้าผู้ที่มั่นคงในเรื่องกรรม และผลของกรรม ก็จะไม่ประมาท และทำความดี และก็จะไม่หวั่นไหวเพราะไม่ว่าจะกลัวยังไงก็ต้องตาย

        สุ. และนิมิตนั้นหมายความว่าอะไร นั่งๆ อยู่อย่างนี้ก็เห็นหรือไงคะ

        ธิ. คงเป็นจากความคิ

        สุ. ก็นั่นสิ ก็ไม่เข้าใจว่านิมิตของเขานี่เมื่อไหร่ ยังไง เห็นอะไร

        กุล. อย่างคิดว่าสามีจะมา คือหมายถึงว่าคนที่ตายแล้ว พอดีตัวเองป่วย และก็ความเชื่อของชาวไทย ที่ว่าเวลาใกล้ตายอาจจะเจอคนที่ล่วงลับไปแล้วเขามาปรากฏ

        สุ. แล้วเขาใกล้ตายหรือยัง ทุกคนที่ไม่เข้าใจธรรมก็กลัวตายทั้งนั้นแหละใช่ไหม เพราะฉะนั้นการได้ฟังธรรม และการสนทนาธรรม และการสอบถามซึ่งกัน และกันก็จะทำให้เข้าใจในเหตุผลยิ่งขึ้น และก็ไม่ข้ามความละเอียดในพยัญชนะที่ได้ยินได้ฟัง ไม่เผิน เช่นขณะนี้ก็ขอทบทวนอีกครั้งหนึ่ง เพื่อที่จะได้มีความมั่นคงในความไม่มีเราเลย มีแต่สภาพธรรมว่าขณะที่กำลังนั่งมีตัวหรือเปล่า คุณวิชัยจะช่วยตอบแทนได้ไหม

        วิ. ถ้ากล่าวโดยปรมัตถธรรมก็ไม่มี

        สุ. แต่ว่ามีอะไรที่มีที่เข้าใจว่าเป็นตัวใช่ไหม

        วิ. ก็มีทั้งร่างกาย

        สุ. ฟังอย่างนี้แล้ว และก็เดิมทีเดียวทุกคนมีตัวทั้งนั้นเลย ตั้งแต่เช้าจนกระทั่งถึงมานั่งที่นี่ แต่ถ้าถามว่าขณะนี้ที่ตัวมีอะไร

        วิ. ก็ได้ยินเสียงท่านอาจารย์ และก็เห็นต่างๆ

        สุ. เฉพาะที่ตัวหาเจอไหม นี่คือการที่เราได้ฟังธรรมแล้วเราจะได้รู้จริงๆ เพราะฉะนั้นที่ว่าไม่ข้าม ได้ยินบ่อยๆ ซ้ำไปซ้ำมา แต่อันนี้จะทำให้สามารถที่จะรู้ความจริงได้จนกระทั่งสามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ ถ้าเข้าใจความจริงว่าขณะนี้ที่เคยยึดถือว่าเป็นเราทั้งหมดตั้งแต่ศรีษะจรดเท้าเหมือนมี ทุกอย่างเหมือนทั้งนั้นเลย แต่ความจริงมีเมื่อไหร่ ไม่มีเมื่อไหร่ใช่ไหม เพราะฉะนั้นที่ว่าเหมือนมีเพราะอาศัยการจำไว้เป็นอัตตสัญญา แต่ความจริงๆ ๆ ขณะนี้ที่ว่ามี สิ่งที่ว่ามีนั้นมีลักษณะอย่างไรที่ตัว ต้องเป็นผู้ที่ละเอียด ไม่ใช่ใครบอกอะไรก็เชื่อ ทำเพื่อที่จะได้รู้ กายในกาย หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างสามารถที่จะไตร่ตรอง การพิจารณาโดยแยบคาย เป็นเหตุให้มีความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ที่ไม่คลาดเคลื่อน เพราะว่าเป็นสิ่งที่ได้ยินได้ฟังแล้ว ไม่ละเลยที่จะพิจารณา แม้แต่คำถามที่ว่าขณะนี้ที่ตัวมีอะไร มีปอด มีหัวใจ อย่างกายคตาสติหรือว่าปฏิกูลมนสัญญาหรือเปล่า จริงๆ เลยที่ตัวขณะนี้มีอะไร นี่คือสัจธรรมถ้ารู้ เพราะฉะนั้นแต่ละอย่างได้ฟังแล้วพิจารณา ค่อยๆ เข้าใจขึ้นจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ตามความเป็นจริงว่านี่เป็นการรู้ถูกต้อง ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏให้รู้ ถ้ายังหาไม่ได้ ก็ไม่ใช่ปัญญา แต่ถ้ามีความเข้าใจถูกต้อง ไม่ไปหาที่อื่นเลยในสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้นั่นเอง

        ผู้ถาม มีรูปธรรมกับนามธรรม และขณะนี้จริงๆ มีอะไรตรงไหน

        สุ. นี่จะนำไปสู่ความเห็นถูก สภาพธรรมเกิดดับอย่างรวดเร็ว และปรากฏทีละลักษณะ เพราะฉะนั้นที่คุณหมอว่ามีนามธรรมกับรูปธรรมตามตำรานี่แน่นอนไม่ผิดเลย แต่เดี๋ยวนี้ลักษณะของรูปอะไร ลักษณะของนามอะไรที่ตัว ถ้าไม่เจอก็คือว่าขณะนั้นไม่ใช่ความรู้ที่จะทำให้เห็นจริงๆ ว่าไม่มีเรา มีแต่ธรรม อย่างที่คำตอบๆ ว่ามีแต่นามธรรมกับรูปธรรม นี่เป็นคำตอบที่ถูกแต่ไม่พอ

        วิ. มีเห็นกำลังดับ

        สุ. มีเห็น ขณะที่เห็นเคยยึดถือว่าเป็นตัวตั้งแต่ศรีษะจรดเท้าหรือเปล่า หรือว่ายึดถือเห็นว่าเป็นเราเห็น ขณะที่กำลังเห็น มีตัวไหม ไม่มี นี่แสดงให้เห็นว่าจริงๆ มีตัวหรือเปล่า ในขณะที่เห็นต้องไม่มี สภาพธรรมเกิดขึ้นปรากฏทีละหนึ่งอย่าง จะเป็นปรากฏพร้อมๆ กันหลายอย่างไม่ได้เลย แม้ว่าจะมีเหตุปัจจัยที่ทำให้สภาพธรรมนั้นๆ เกิด แต่ถ้าสภาพธรรมนั้นๆ ไม่ปรากฏ สภาพนั้นๆ ที่เกิดแล้วก็ดับไปแล้วไม่ได้ปรากฏ ด้วยเหตุนี้แม้เห็นในขณะนี้ก็เป็นสภาพธรรมที่ปรากฏหรือยัง หรือว่าเพียงเห็นก็ไม่รู้ เราต้องรู้เลยว่าอวิชชาคือไม่รู้อะไร และวิชชานั้นรู้อะไร มิฉะนั้นสิ่งที่เราเรียนมาทั้งหมดก็เป็นแต่เพียงชื่อ เรื่องของโมหะเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก เพราะเป็นสภาพที่ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏมานานแสนนาน ทำให้เกิดอกุศลมากมายหลายประเภทสะสมไว้มากมายในจิตใจ แล้วปัญญาที่จะเกิดเทียบส่วนแล้วจะน้อยสักแค่ไหน แล้วก็ไม่ใช่เพียงแค่ระดับการฟังเท่านั้นด้วย ถ้าเป็นขั้นการฟังจะละการยึดถือสภาพธรรมใดๆ ว่าเป็นเราเป็นตัวตนไม่ได้เลยเพราะว่าเพียงฟัง ในขณะนี้ฟังว่าที่ตัวมีนามธรรม และรูปธรรมก็ยังละไม่ได้ เพราะเหตุว่ายังไม่ได้ประจักษ์จริงๆ ว่าไม่มีอะไรนอกจากนามธรรมที่เกิดขึ้น และก็รู้สิ่งที่กำลังปรากฏทีละอย่าง เพราะฉะนั้นขณะที่กำลังเห็น ขณะนั้นต้องมีความเข้าใจในเห็นจึงจะรู้ว่าไม่มีตัว และไม่มีเรา แต่มีเห็นกับสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา เพราะฉะนั้นไม่ใช่แต่เฉพาะตัวซึ่งเป็นกาย ไม่ว่าจะเป็นเวทนาความรู้สึก ไม่ว่าจะเป็นจิต ไม่ว่าจะเป็นธรรมทั้งหมด คือเป็นธรรมจริงๆ แต่ละลักษณะ มีลักษณะจริงๆ ปรากฏได้แต่ละทาง สิ่งที่ปรากฏทางตาจริง ขณะนี้ปรากฏทางตา สิ่งที่ปรากฏทางหูจริง เมื่อกำลังปรากฏทางหู สิ่งที่ปรากฏทางจมูกจริง เมื่อกำลังปรากฏทางจมูกต้องกำลังปรากฏด้วยเพราะว่าเกิดแล้วยังไม่ดับจึงปรากฏได้ ทางลิ้น ทางกาย ทางใจก็โดยนัยเดียวกัน นี่คือการฟัง และก็พิจารณา แม้ขั้นพื้นฐานคือธรรม นามธรรมกับรูปธรรมก็จะต้องมีความเข้าใจถูกในระดับของการฟัง และก็การพิจารณา และสติปัฏฐานเป็นปกติ อย่าคิดว่าเหลือวิสัยเป็นไปไม่ได้เลย เพราะเราไปเข้าใจผิดว่าจะต้องไปอบรม ไปเจริญกว่าจะเกิด แต่ขณะนี้มีแล้ว รู้ตรงนั้น โดยที่ว่าไม่มีการบังคับเลย แต่สามารถที่จะเข้าใจถูกได้ว่านั่นเป็นลักษณะของสติที่กำลังรู้ตรงลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ และก็ค่อยๆ เข้าใจในลักษณะนั้นว่าทั้งวัน ไม่ว่าสิ่งใดปรากฏก็คือลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่างนั้นเอง นี่คือพิจารณาโดยแยบคาย ค่อยๆ เข้าใจขึ้น และก็เข้าใจถูกคือเข้าใจถูกในลักษณะของสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 202


    หมายเลข 10649
    25 ม.ค. 2567