อัตตสัญญา-อนัตตสัญญา


        ผู้ฟัง สองอาทิตย์ก่อนผมรับกับท่านอาจารย์ว่าผมฟังแล้วก็ชื่นใจแล้วก็ถ้าจะพอไปได้ พอจะหายสงสัยได้เพราะว่าท่านอาจารย์ใช้คำว่า “นึกถึงคำว่าธาตุ” คืออะไรๆ ก็ช่างมัน ตัวเราหรืออะไรก็ช่าง ให้คิดว่าเป็นธาตุ ฟังไปๆ ก็ช่วยให้เราเข้าใจขึ้น แทนที่จะเป็นว่าตาเราเห็น แทนที่จะเป็นเราเห็นเก้าอี้ เห็นนก เห็นสัตว์อะไรก็แล้วแต่ กลายเป็นทุกอย่างเป็นธาตุหมด มันก็ช่วยให้เราสบายใจขึ้นได้บ้าง เออ ไม่มีตัวเรา ไม่มีอะไรทั้งสิ้น เป็นธาตุอย่างหนึ่ง

        สุ. สบายใจด้วยความเป็นเราสบายใจ

        ผู้ฟัง พอกลับไปถึงบ้านไปคิดต่อไปอีก ที่เราเห็นก็เป็นจักขุปสาทซึ่งมันก็อยู่กับเรา อยู่ที่ตัวเรา อยู่ในตาเรา จะให้ผมเข้าใจว่ายังไง ผมเลยเปลี่ยนใจ

        สุ. ไม่ชื่นใจแล้ว

        ผู้ฟัง ไม่ชื่นใจแล้ว

        สุ. เป็นธรรมดา อนัตตาไม่เที่ยง

        ผู้ฟัง ต้องกราบขออภัยจริงๆ

        สุ. แน่นอน ต้องเป็นอย่างนี้ กว่าจะเป็นความเข้าใจของเราที่มั่นคงขึ้น และก็ถูกต้องยิ่งขึ้น เป็นผู้ที่ตรง สำคัญที่สุด ตรงกับจริงใจต่อการที่จะเข้าใจสภาพธรรม

        ผู้ฟัง พยายามตรง แต่พอเห็นว่าเอ๊ะ ตาก็เห็นจากจักขุปสาทของเราทั้งนั้น

        สุ. ของเราทั้งนั้นเลย เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้อยู่ไหน เมื่อวานนี้ที่เห็นที่ได้ยินหรือเมื่อกี้นี้

        ผู้ฟัง มันหายไปแล้ว

        สุ. ก็หมดแล้ว ของเราอยู่ไหนๆ หมดแล้ว

        ผู้ฟัง ถ้าใช้คำนี้ มันก็ยังไม่หมดเพราะว่าสัญญาเรายังจำได้

        สุ. ถูกต้อง จนกว่าสัญญาที่เป็นอนัตตสัญญาจะเกิด ขณะนี้ก็อัตตสัญญาสืบต่ออยู่เรื่อยๆ ถ้าขณะนั้นจำได้ว่าเป็นเรา

        ผู้ฟัง คือผมไม่ได้ดื้อแต่พยายามจะทำความเข้าใจ

        สุ. ถูกต้อง อันนี้เป็นเครื่องกั้น โลภะแนบเนียนมาก ขณะใดที่มีความไม่รู้ สหายสนิทก็มา ติดข้องต้องการ ไม่ว่าจะต้องการอะไร ขณะนี้กำลังต้องการเข้าใจ อยากเข้าใจ จะทำยังไงจะเข้าใจ โดยที่ไม่ได้คิดว่าการฟังแล้วเข้าใจก็หมดไปได้เพราะว่าสภาพธรรมทุกอย่างเกิดดับ ก็มีสภาพธรรมอื่นซึ่งอาศัยอวิชชาซึ่งสะสมมานานแสนนานเกิดต่อ พร้อมด้วยความสงสัยนานแสนนานซึ่งเกิดต่อพร้อมด้วยโลภะซึ่งนานแสนนานซึ่งสะสมมาหนีไม่พ้นโดยง่าย แต่จะต้องค่อยๆ เข้าใจถูกต้องขึ้น ด้วยเหตุนี้ตึงเข้าใจความหมายของคำว่า “จิรกาลภาวนา” การอบรมที่จะรู้จริงประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมเป็นสัจจญาณ ถ้าใครไม่มีสัจจญาณ ไม่มีทางที่กิจญาณจะเกิดได้เลย ก็เป็นเราไปทำอย่างนั้น ไปทำอย่างนี้ เร่งรัดอยากรู้ตลอดชาติ เป็นอย่างนี้ก็ได้อะไรจากชาตินี้ไป ได้ความไม่รู้ ได้ความเห็นผิดต่อๆ ไป แต่ถ้าจะมีความเห็นถูกแม้เพียงเล็กน้อยก็ได้แล้วที่จะทำให้มีความค่อยๆ เห็นถูกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ตรง อนัตตา

        ผู้ฟัง บางทีออกไปสนทนากัน เอ๊ะ ทำไมคุณเด่นพงษ์นี่กลับไปกลับมา

        สุ. ธรรมดา

        ผู้ฟัง เดี๋ยวก็เชื่อเดี๋ยวก็ไม่เชื่อ

        สุ. ธรรมดา

        ผู้ฟัง ผมก็บอกว่าผมเชื่อขึ้นทีละนิดๆ ตามสเกลความเชื่อที่ผมคิด แต่มันก็กลับลงมา แล้วก็กลับขึ้นไป กลับลงมาแล้วก็กลับขึ้นไป

        สุ. สะสมมาแต่ความเห็นถูกอย่างเดียว หรือว่าสะสมความเห็นผิดมาด้วย สะสมความสงสัยมาด้วย สะสมความไม่รู้มาด้วย ทุกคนอนุโมทนาคุณเด่นพงศ์ในกาลนั้น แต่ในกาลนี้หายไปแล้วใช่ไหม ก็เป็นเรื่องบที่จะอนุโมทนาเฉพาะกาลๆ เวลาที่กุศลจิตเกิด เวลาที่ความเห็นถูกเกิด ก็อนุโมทนาในขณะนั้นจนกว่าจะถึงตลอดกาลได้

        ผู้ฟัง แต่ผมใช้คำว่า “ธาตุ” ที่อาจารย์แนะนำแล้ว ผมคิดว่าผมเข้าใจขึ้นนิดหนึ่ง

        สุ. ถูกต้อง แต่ตราบใดที่สติสัมปชัญญะไม่รู้ตรงลักษณะของสภาพธรรม อันนั้นความเข้าใจในลักษณะนั้นที่ไม่ใช่เราจะยังไม่มีเลย ยังคงเป็นการฟังขั้นปริยัติอยู่

        ผู้ฟัง ผมคิดว่าคงขอฟังไปอีก

        สุ. นี่เป็นการสะสมสำหรับวันหนึ่งสามารถจะเข้าใจในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏได้ตรง

        ธิ. จริงๆ จากคำถาม และคำพูดที่จริงใจของคุณเด่นพงศ์ว่ากลับไปแล้วก็ยังรู้สึกว่ามีตัวตนอยู่ อันนี้ก็เป็นเรื่องที่เป็นปกติ อย่างสักกายทิฏฐิที่ยึดถือขันธ์ ๕ ไม่ว่าจะรูปหรือเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ต่างๆ ว่าเป็นเราซึ่งก็ละเอียด และลึกซึ้งมาก เพราะฉะนั้นสิ่งที่เห็นๆ แล้วเราก็ยึดถือว่าเป็นตัวตนเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็เป็นเรื่องธรรมดาเพราะว่ายังไม่ได้ละสักกายทิฏฐิ และการที่มาฟังธรรมก็ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกมากขึ้น แต่ในขณะที่ความเข้าใจผิดหรือว่าความที่เรายึดถือสภาพธรรมทุกๆ อย่างว่าเป็นเราสะสมมาเยอะ มันก็ทำให้เรารู้สึกคล้อยตามว่า เอ๊ะ มันก็ยังเป็นเราอยู่เพราะด้วยอำนาจของความยึดถือ ท่านอาจารย์คะ ตรงนี้ก็เป็นตัวอย่างให้มองเห็นแล้วว่าสักกายทิฏฐิละเอียด และก็ลึกซึ้งจริงๆ

        สุ. จะเห็นได้ว่าถ้าเป็นผู้ที่ไม่มั่นคงวันหนึ่งเราอาจจะเห็นผิดได้ เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่ละเอียด และระวัง และรอบคอบ ที่จะรู้ว่าพระธรรมทั้งหมดที่ทรงแสดงเพื่อให้เราเกิดปัญญาของเราเอง ไม่ใช่อาศัยปัญญาของคนอื่นแล้วก็คิดตามเชื่อตาม ไม่ว่าใครจะบอกว่ายังไงก็ตาม แต่ว่ามีลักษณะของสภาพธรรมปรากฏให้รู้ได้ว่าสิ่งที่ได้ยินได้ฟังทำให้เราค่อยๆ เข้าใจขึ้น อันนั้นถูก แต่ว่าถ้าไม่สามารถทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏเป็นเรื่องอื่น ก็คือไม่ใช่การที่จะทำให้ปัญญาของเราจริงๆ เจริญขึ้นได้

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 203


    หมายเลข 10659
    25 ม.ค. 2567