สภาพธรรมเกิดขึ้นแล้วผ่านไปด้วยความเป็นเรา -พฐ.209


        สุ. ซึ่งแต่ละคนจะได้สะสมมามากน้อยอย่างไร คนอื่นไม่สามารถจะรู้ได้แม้ตัวเอง สะสมความเห็นถูกมาแค่ไหน สะสมความเห็นผิดมาแค่ไหน ถ้าไม่ถึงกาลที่มีเหตุที่จะให้สิ่งนั้นปรากฏ ไม่ปรากฏเลย แต่ต่อเมื่อใดมีเหตุที่จะทำให้สิ่งใดเกิดขึ้นปรากฏ เกิดแล้วให้รู้ว่ามีเพราะการสะสมที่ได้สะสมมาแล้ว เพราะฉะนั้นแต่ละคนก็จะรู้จักตัวเองว่าเป็นธรรมซึ่งได้สะสมมาประเภทต่างๆ มากมาย แล้วแต่ว่าขณะนั้นมีปัจจัยที่จะให้เกิดเป็นธรรมประเภทไหนปรากฏ เพื่อให้รู้ถูก เพื่อให้เข้าใจถูก หรือว่าเพื่อให้ผ่านไปด้วยความเป็นเรา นี่คือสิ่งที่จะได้รับประโยชน์จากพระธรรม ถ้าผ่านไปด้วยความเป็นเราๆ จะได้รับประโยชน์อะไรจากการฟังพระธรรม แต่ว่ารู้ว่าสิ่งที่มีจริงทุกขณะสามารถจะทำให้สติเจริญขึ้น ปัญญาเจริญขึ้น โดยการรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏถูกต้องตามความเป็นจริง แล้วก็วันหนึ่งจะเป็นสาวกที่ได้รู้แจ้งอริยสัจธรรมเหมือนพระสาวกทั้งหลายแสนกัปป์บ้างก็แล้วแต่ว่าใครจะอบรมมามากน้อยเท่าไหร่ซึ่งไม่ต้องนับเพราะใครนับ ถ้านับก็คือเรา

        ผู้ถาม ถ้าอย่างนั้นการสะสมของเราทุกวันนี้ที่มาที่มูลนิธินี้ไม่ใช่แค่สะสมการฟัง แต่ว่าก็สะสมอะไรอีกหลายอย่างด้วยใช่ไหมคะ

        สุ. ถูกต้อง ทุกขณะที่เป็นโลภะ โทสะ โมหะ เป็นอกุศลจิตหรือกุศลจิต ไม่ได้หายไปไหนเลย พอเกิดแล้วดับแล้วก็จริง แต่กำลังของสิ่งที่ได้เกิดแล้วดับแล้วนั้นสะสมสืบต่อเป็นอาสยานุสยะคือการสะสมทั้งฝ่ายกุศล และอกุศล

        ผู้ถาม ถ้ามานี่ควรสะสมแต่สิ่งที่ดีแล้ว ดีนี้หมายถึงตามคำสอน บางอย่างนิสัยเป็นยังไงก็ยังใช้กันอยู่อย่างนั้น

        สุ. พระโสดาบันบุคคลอบรมเจริญปัญญาเห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมจนรู้แจ้งอริยสัจธรรม ไม่ต้องไปคำนึงถึงสิ่งที่ได้สะสมมาแล้วเพราะว่าใครก็ไปเปลี่ยน ไปเอาออกไม่ได้ แต่เพิ่มความเห็นถูก ความเข้าใจถูก จนกระทั่งไม่มีเรา เพราะฉะนั้นแม้พระโสดาบันก็ยังมีความติดข้องในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ เพราะท่านเป็นพระโสดาบัน ท่านไม่ใช่พระสกทาคามีบุคคล ท่านไม่ใช่พระอนาคามีบุคคล ท่านไม่ใช่พระอรหันต์เป็นผู้ตรง อุชุปฏิปัณโณ เป็นคุณธรรมของผู้ที่เป็นพระอริยบุคคล

        ผู้ถาม ก็หมายความว่าต้องสะสมด้วยความถูกต้องตามคำสอนที่สอน จะไม่เอาของเก่าออกมามันเป็นมาแล้วอย่างนั้น

        สุ. มิได้ค่ะ ไม่มีใครไปเอาออกเอาเข้าได้ แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คิดถึงคำนี้ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงให้เข้าใจถูก เห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรม พระธรรมที่จะแสดงให้เห็นผิดไม่มี เว้นแต่ว่าผู้อ่านไม่เข้าใจ แล้วก็คิดเอาเองว่ามีตัวตนที่จะทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ที่ทรงแสดงไว้ตามความเป็นจริงคือธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา แต่ว่าผู้ที่ยังไม่ประจักษ์ ยังมีการยึดถือสภาพธรรมนั้นๆ แน่นอนเพราะเหตุว่าเป็นขั้นปริยัติ ด้วยเหตุนี้พระธรรมจึงมี ๓ ระดับ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวท แต่ต้องเข้าใจให้ถูกทุกคำ ปฏิปัตติไม่ใช่ไปนั่งทำอะไรเลยทั้งสิ้น แล้วก็ไม่มีตัวตนที่ปฏิบัติด้วย มรรคมีองค์ ๘ คงลืมไม่ได้เลย สติซึ่งไม่ใช่สติขั้นทาน ไม่ใช่สติขั้นศีล ไม่ใช่สติขั้นความสงบ แต่เป็นสติที่ประกอบด้วยปัญญาที่เข้าใจหนทางถูกต้องว่าการที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏได้เพราะอะไร นี่เป็นสิ่งที่สำคัญ ไม่ใช่ไม่รู้อะไรเลยแล้วก็ไปนั่งแล้วก็หวังว่าจะรู้ แต่สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ก็ยังคงไม่รู้ต่อไป

        ผู้ถาม ฟังแล้วเข้าใจถูก ก็สะสมได้ถูกอย่างนี้ใช่ไหม

        สุ. ถูกต้อง เพราะมีผู้ที่สะสมความเห็นถูกมามากแล้วที่สามารถที่จะเป็นพระอริยบุคคลได้

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 209


    หมายเลข 10701
    25 ม.ค. 2567