สมาธิคืออะไร


    ถ้ายังไม่รู้จักว่าสมาธิคืออะไร แล้วจะทำในสิ่งที่ไม่รู้หรือ ซึ่งสมาธิ คือ เอกัคคตาเจตสิกเป็นสภาพที่ตั้งมั่น ถ้าเป็นอกุศลก็ตั้งมั่นไม่ดีเป็นมิจฉาสมาธิ ถ้าเป็นกุศลก็ตั้งมั่นดีเป็นสัมมาสมาธิ


    ผู้ฟัง ชื่อกฤษณะครับ ถามว่าเวลาที่จะมีสมาธิ จะต้องมีสมาธิตอนที่ต้องนั่งสมาธิอย่างเดียวหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ รู้จักสมาธิหรือยัง

    ผู้ฟัง ไม่รู้ครับ

    ท่านอาจารย์ แล้วพูดถึงอะไร

    ผู้ฟัง พูดถึงเวลานั่งสมาธิ

    ท่านอาจารย์ นั่นสิ่คะ ไม่รู้จักสมาธิ แล้วพูดถึงอะไร พูดถึงอะไรก็ไม่รู้ ก่อนอื่นต้องรู้ทุกคำที่พูด ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นปัญญา รู้ได้ เข้าใจได้ แต่ต้องฟังว่าพระองค์ตรัสว่าอย่างไร พระองค์ตรัสให้เข้าใจ สมาธิคืออะไร มีจริงหรือเปล่า แล้วใครบอกให้พูดเรื่องสมาธิ เอามาจากไหน คิดเองหรือเปล่ า เกิดมาได้ยินคำว่าสมาธิเลยหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เปล่าครับ

    ท่านอาจารย์ แล้วได้ยินคำนี้จากไหน

    ผู้ฟัง ได้ยินจากที่เคยได้ยิน

    ท่านอาจารย์ จากเคยได้ยิน จากที่เคยได้ยินเขาว่าสมาธิคืออะไร ที่เคยได้ยิน หรือว่าไม่รู้ว่าสมาธิคืออะไร แต่ให้ทำสมาธิ

    ผู้ฟัง ไม่รู้ครับ

    ท่านอาจารย์ ไม่รู้ว่าสมาธิคืออะไร แต่ให้ทำสมาธิหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ครับ

    ท่านอาจารย์ ถ้าอย่างนั้นไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะให้ทำสิ่งที่ไม่รู้ ทำ ทำไมในเมื่อไม่รู้ เป็นประโยชน์ไหม ทำไปก็ไม่รู้ เพราะทำอะไรก็ไม่รู้ ก็ไม่รู้ไปเรื่อยๆ แล้วจะมีประโยชน์ไหม ก่อนอื่นได้ยินคำไหน อย่าเพิ่งเชื่อ อย่าเพิ่งทำ อย่าเพิ่งตาม แต่ต้องเข้าใจก่อนว่า คืออะไร อยากทราบไหม สมาธิคืออะไร

    ผู้ฟัง อยากครับ

    ท่านอาจารย์ ขอเชิญคุณอรรณพค่ะ

    อ.อรรณพ สมาธิคือความตั้งมั่นของจิตใจนี่แหล่ะ ซึ่งตั้งมั่นที่ไม่ดีก็มี ตั้งมั่นที่ดีก็มี อย่างพวกโจรที่เขามีสมาธิในการงัดแงะ วางแผนอย่างรอบคอบ เขามีความตั้งมั่นในการกระทำเขาหรือไม่ แต่การตั้งมั่นอย่างนั้นดีไหม

    ผู้ฟัง ไม่ดี

    อ.อรรณพ ไม่ดีสมาธิอย่างนั้น จึงเป็นอกุศลสมาธิ หรือพูดง่ายๆ ว่าตั้งมั่นไม่ดี ส่วนความตั้งมั่นที่ดี คือความตั้งมั่นในทางกุศล จริงๆ ตอนนี้ ขณะที่มีความดีของจิต เช่น มีความกตัญญูกับคุณแม่ มีความช่วยเหลือเพื่อนฝูง หรืออะไร ขณะนั้นจิตดีหรือไม่

    ผู้ฟัง ดี

    อ.อรรณพ จิตตอนนั้น มีสมาธิหรือไม่

    ผู้ฟัง มี

    อ.อรรณพ มี แต่สั้นๆ เพราะเดี๋ยวก็ไปวิ่งเล่นแล้ว ถูกหรือไม่ เพราะฉะนั้นสมาธิ มีกับทุกจิตทุกขณะนี้แหละ เพียงแต่ว่าสมาธินั้น อาจจะสั้น สมาธิที่ไม่ดีแต่มียาวๆ และมีสมาธิตั้งมั่นนานๆ เลย แต่สมาธินั้นไม่ดี เป็นอกุศล กับมีสมาธิที่เป็นกุศลนิดหน่อย แต่เป็นสิ่งที่ดี อะไรดีกว่า สมาธิดีสั้นๆ แต่เป็นสมาธิที่ดี กับสมาธิยาวๆ แต่เป็นสมาธิที่เป็นอกุศล แบบสั้นหรือแบบยาวดีกว่า

    ผู้ฟัง สมาธิที่ดีแบบสั้นๆ

    อ.อรรณพ ถูกต้อง เพราะฉะนั้นขณะที่หนูกำลังเข้าใจขณะนี้ ขณะที่หนูกำลังมีความเข้าใจเรื่องสมาธิถูกต้อง ขณะนั้นมีสมาธิเกิดอยู่แล้ว ขณะนี้สั้นๆ แต่ถ้าหนูไม่รู้อะไรเลย แล้วก็ให้หนูไปนั่งทำสมาธิ โดยที่หนูไม่เข้าใจอะไรเลย จะเป็นสมาธิที่ดี ได้ไหม ถ้าไม่มีความเข้าใจอะไรเลย

    เพราะฉะนั้นความเข้าใจจากการฟัง การศึกษาธรรม เป็นเบื้องต้นที่จะทำให้มีความตั้งมั่นที่ดี เพิ่มขึ้นทีละนิดทีละนิด ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจ เขาให้ทำอะไรเราก็ไปทำ ความอยากดีหรือไม่ ความไม่รู้ ความเข้าใจผิด ดีหรือไม่ดี

    ผู้ฟัง ไม่ดี

    อ.อรรณพ ไม่ดี ถูกไหม เพราะฉะนั้นจะไม่เข้าใจผิด ก็เมื่อศึกษาแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น

    ท่านอาจารย์ ก็คิดว่า ต้องขอบคุณ ไม่ว่าคำถามใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเหตุว่าจะทำให้เราได้ยิน ได้ฟัง สิ่งซึ่งอีกแบบหนึ่ง ซึ่งยังไม่เคยฟัง ขอถามผู้ใหญ่ด้วย ถ้าไม่รู้จักธรรม จะรู้จักสมาธิหรือไม่ เคยได้ยินคำว่าธรรมไหม

    ผู้ฟัง เคยได้ยิน

    ท่านอาจารย์ เคยได้ยิน เเล้วก็อาจจะเขาว่าอย่างนั้น เขาว่าอย่างนี้ แต่ ณ วันนี้ที่ฟัง ธรรมคืออะไร ถ้ายังไม่เข้าใจ ก็ไม่เข้าใจสมาธิ เราจะไม่พูดทุกอย่างเผิน เพราะทุกเรื่องรู้สึกว่า พอพูดถึงสมาธิ ทุกคนสนใจเลย ไม่ได้สนใจธรรมเท่ากับสมาธิ ไม่ทราบว่าเพราะอะไร เพราะได้ยินคำที่ไม่รู้จัก แล้วก็ยังไม่ได้รู้จักจริงๆ แต่พอได้ยินคำว่าธรรมเหมือนรู้จักแล้ว แต่ความจริงไม่รู้จักธรรม เพราะว่าประมาท พระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยไม่ฟังคำของพระองค์อย่างละเอียด ที่จะรู้ว่าคำใดเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้แต่ละคำ ทีละคำ ถ้าไม่รู้จักธรรม จะรู้จักสมาธิหรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่

    ท่านอาจารย์ ไม่ เพราะฉะนั้นต้องรู้จักก่อน ธรรมคืออะไร เข้าใจว่าได้ฟังเมื่อสักครู่นี้ ลองคิดทบทวนสิ่ว่า วัยอย่างนี้ได้ฟังอย่างนี้ พอที่จะเข้าใจได้แค่ไหน ธรรมมีจริงๆ ไหม

    ผู้ฟัง มีจริง

    ท่านอาจารย์ มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ มีธรรมไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ บอกได้เลยว่าอะไรเป็นธรรม มีสมาธิหรือไม่ เดี๋ยวนี้

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง แต่ว่ายังไม่ได้เข้าใจละเอียด แค่ถูก จะรู้ได้เลยว่า ถูกจริงๆ ไม่เหมือนที่คนอื่นคิด ไม่เหมือนที่ใครๆ คิดเลย ขณะที่กำลังได้ยิน กำลังได้ยิน ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ มีสมาธิหรือไม่ ขณะได้ยิน

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ เก่ง แต่ก็ยังไม่รู้ว่าสมาธิคืออะไร แค่ตอบได้จากการได้ฟังไม่นาน แต่ถ้าจะรู้ความจริงก็คือว่า เพียงแค่กระทบนิดเดียว แค่แข็งปรากฏ จิตที่รู้แข็งได้ เพราะมีเอกัคคตาเจตสิกเกิดร่วมด้วย สภาพของเจตสิกนี้ ชื่อยาวเป็นภาษาบาลี ยังไม่ต้องจำ ฟังไว้เท่านั้นเองว่า เอกะคือหนึ่ง เอกัคคตาเจตสิก เป็นสภาพของธรรมที่ไม่ใช่จิต แต่ต้องเกิดกับจิตทุกประเภท เจตสิกนี้เกิดกับจิตทุกประเภท แสดงว่าไม่ว่าขณะเห็น ขณะใดก็ตาม ที่ไหนก็ตาม ที่มีจิต ขณะนั้นต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย และเอกัคคตาเจตสิกเกิดกับจิตทุกประเภท ขอให้รู้ความลึกซึ้ง แค่แตะแข็ง ทำไมไม่รู้อย่างอื่น ทำไมไม่ใช่เสียง ทำไมไม่ใช่กลิ่น เพราะว่าขณะนั้นเอกัคคตาเจตสิก ตั้งมั่นที่แข็ง จิตที่เกิดกับเอกัคคตาเจตสิกนั้น จึงรู้เฉพาะแข็งอย่างเดียว

    นี่เป็นเหตุที่จิตหนึ่งเกิดขึ้น รู้อารมณ์หนึ่ง รู้หลายๆ อารมณ์ไม่ได้ เพราะเหตุว่าจิตหนึ่งขณะเป็นสภาพรู้ แล้วไม่ใช่รู้อย่างธรรมดา รู้แจ้งในลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ฟ้ากับน้ำเกือบจะเป็นสีเดียวกัน แต่จิตก็สามารถที่จะรู้ว่า ฟ้าเป็นฟ้า น้ำเป็นน้ำ ทองแท้กับทองเทียม ใครดูออกบ้าง หยกมีตั้งหลายชนิด แม้พ่อค้าผู้ชำนาญหยกยังผิดได้ แต่จิตไม่ผิด เพราะเหตุว่าจิตเป็นสภาพที่รู้แจ้ง ไม่ใช่รู้ชื่อ แต่แล้วแต่ว่าจิตนั้นรู้อะไร ถ้าเป็นจิตที่รู้ทางตา เห็นแจ้งว่าสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ เป็นอย่างนี้

    ถ้าเป็นเสียงทางหู รู้เฉพาะเสียงนี้ เสียงที่กำลังปรากฏ และยังจำ ซึ่งเป็นเจตสิกอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งเกิดกับจิต ไม่ใช่จิต เพราะฉะนั้นเสียงใคร พอได้ยินรู้เลยใช่ไหม แค่โทรศัพท์ ได้ยินเสียง ไม่เห็นหน้าก็รู้แล้วใคร นี่ก็คือจิตรู้เสียงทีละหนึ่งชัดเจน แล้วก็ยังมีสภาพจำ ซึ่งไม่ใช่เจตสิกที่เป็นเอกัคคตาเจตสิกที่ตั้งมั่น

    นี่คือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก่อนที่เราจะเข้าใจแท้จริง ในคำว่าสมาธิ จะต้องรู้เสียก่อนว่าเป็นจริง แล้วก็เป็นธรรม ซึ่งไม่ใช่จิต แต่เป็นสภาพรู้ เป็นนามธรรม แต่นามธรรมที่เป็นเจตสิกมีหลากหลายมาก ถึง ๕๒ ประเภท บางชนิดก็เกิดกับจิตประเภทนั้น บางชนิดก็เกิดกับจิตประเภทนี้ แต่สำหรับเอกัคคตาเจตสิก เกิดกับจิตทุกขณะ ทำให้จิตตั้งมั่น คือรู้เฉพาะอารมณ์เดียว ที่เอกัคคตาเจตสิกเกิดกับจิต และรู้อารมณ์นั้นพร้อมกัน ไม่ว่าจะเห็น เหมือนไม่เป็นสมาธิ ใช่ไหม แค่เห็นนิดเดียว แค่ได้ยินนิดเดียวหมดแล้ว เหมือนไม่มีสมาธิ เพราะเหตุใด เพราะเหตุว่าจิตเกิดดับสืบต่อเร็วมาก และเปลี่ยนอารมณ์ไปเรื่อยๆ เช่นขณะนี้ เหมือนเห็นกับได้ยิน และคิดนึกพร้อมกันหมดเลย แต่ความจริงต้องที่ละหนึ่ง

    เพราะฉะนั้นเอกัคคตาเจตสิก ที่เกิดกับจิตเห็น มีสิ่งที่ปรากฏ เพราะว่าเอกัคคตาเจตสิกตั้งมั่น ถ้าจิตตั้งมั่นที่อารมณ์เดียวบ่อยๆ นานๆ ลักษณะสภาพของความตั้งมั่นก็ปรากฏ ที่ใช้คำว่า สมาธิ คำว่า สมาธิ เป็นคำจริง แต่ต้องมีสภาพธรรมว่า ได้แก่ สภาพธรรมอะไร ไม่ใช่จิต แต่เป็นเจตสิก เจตสิกประเภทไหน เจตสิกซึ่งต้องเกิดกับจิตทุกขณะ เมื่อจิตเป็นสภาพที่มีเอกัคคตาเจตสิกเกิดด้วย แต่ละหนึ่งขณะ จิตจึงรู้เพียงสิ่งเดียวตลอด แต่ถ้าซ้ำกันๆ บ่อยๆ ลักษณะที่ตั้งมั่นในอารมณ์นั้นก็ปรากฏ ก็ใช้อีกคำหนึ่งว่า สมาธิ แต่ว่ามีทั้งอกุศล และกุศล เพราะอะไร เพราะว่าเอกัคคตาเจตสิก เกิดกับจิตทุกประเภท เมื่อเกิดกับจิตประเภทไหน ก็เป็นประเภทนั้น ถ้าเกิดกับกุศลก็เป็นกุศล ถ้าเกิดกับอกุศลก็เป็นอกุศล

    ด้วยเหตุนี้หนทางหรือข้อประพฤติปฏิบัติ การปฏิบัติอย่างหนึ่งอย่างใดที่เป็นการทำสมาธิ แต่ไม่มีปัญญา ความรู้ ความเข้าใจ ในสภาพธรรมตามสมควรแก่ระดับขั้นของสมาธินั้น สมาธินั้นเป็นมิจฉาสมาธิทั้งหมด หมายความว่าเป็นอกุศล แล้วเราจะไปนั่งทำสมาธิ ที่เป็นอกุศลกันหรือ เราไม่มีความเข้าใจอะไรเลย กุศลขณะใดเกิดขึ้น

    แม้ขณะที่กำลังฟังธรรมเดี๋ยวนี้ เป็นกุศลสมาธิ ดีกว่าหรือไม่ ดีกว่าจะไปนั่งเฉยๆ แล้วไม่รู้อะไรเลย บอกให้นั่งก็นั่ง บอกให้จ้องก็จ้อง แล้วไม่มีความเข้าใจอะไรเลย นั่นไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อนั้นขณะนั้นไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่อเมื่อได้ฟังแต่ละคำ แล้วก็เข้าใจคำนั้นขึ้น ลึกซึ้งขึ้น จนสามารถที่จะรู้ว่า สิ่งที่เราไม่เคยได้ยิน ได้ฟังมา เป็นความจริง คือถ้าไม่เกิดขึ้นก็ไม่มี แต่เมื่อมีก็ชั่วคราวที่แสนสั้นเกินกว่าที่ใครจะประมาณได้ว่า สั้นเเค่ไหน เเล้วดับไป แล้วไม่กลับมาอีกเลย เราติดข้องในสิ่งที่ไม่มี ก็จากไม่มีก็มี ชั่วนิดเดียว แล้วก็หมดไป แล้วก็ไม่เหลือเลย

    ฟังไว้ๆ เพราะเหตุว่าปัญญาที่ได้ยินคำนี้ ยังไม่ถึงระดับที่จะละความติดข้อง ในความไม่ใช่เราที่ได้ยิน หรือว่าไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ที่ปรากฏ เป็นสิ่งซึ่งค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจ เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งถ้าไม่ฟังคำของพระองค์เลย มืดสนิท มีแต่พระพุทธรูป ซึ่งไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และถ้าได้ฟังคำอื่น ก็ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีก แต่พอได้ยินคำซึ่งเป็นคำจริง มีจริงขณะนี้ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เริ่มเห็นความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่แสนไกล

    คำว่าอุบาสก อุบาสิกา ภาษาบาลีก็เป็นอุปาสก อุปาสิกา ความหมายก็คือว่าผู้นั่งใกล้พระธรรม ผู้นั่งใกล้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่งใกล้พระรัตนตรัย ถ้าอยู่ไกล ก็ไม่ได้ยิน ได้ฟังอะไรเลยทั้งสิ้น ต่อเมื่อใดเข้าใกล้ เข้าใกล้ขึ้น จึงจะเห็นความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตามที่พระองค์ตรัสไว้ว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา

    ชาวเมืองสาวัตถี ชาวเมืองเวสาลี พระนครราชคฤห์ ผู้คนทั้งหลายที่ไม่ได้ฟังพระธรรมเลย แม้พระองค์เสด็จบิณฑบาต ก็ไม่รู้ว่านั่นคือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เข้าใจหรือยัง ทวนได้หรือไม่ ขอถาม เดี๋ยวนี้มีธรรมหรือไม่

    ผู้ฟัง มีครับ

    ท่านอาจารย์ อะไรเป็นธรรม อะไรที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ เป็นธรรมทั้งหมดเลย และเดี๋ยวนี้มีอะไรบ้างทีละหนึ่ง

    ผู้ฟัง ผมเห็นพวงมาลัย ที่โต๊ะ

    ท่านอาจารย์ ผมเห็นพวงมาลัยที่โต๊ะ เป็นคำตอบที่ชัดเจน ตรง แต่เห็นไม่ใช่พวงมาลัย ใช่ไหม เห็นเป็นธาตุรู้ สภาพรู้ คนตายไม่เห็นพวงมาลัย เพราะไม่มีธาตุรู้ คือไม่มีจิต แต่จิตเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ต้องรู้ ไม่รู้ไม่ได้ ตอนหลับสนิทไม่ฝัน ก็ยังต้องมีจิตดำรงภพชาติเกิดดับสืบต่อ กรรมยังไม่ทำให้สิ้นความเป็นบุคคลนั้น แต่อารมณ์ไม่ปรากฏ เพราะไม่ใช่อารมณ์ของโลกนี้ ถ้าเป็นอารมณ์ของโลกนี้ ต้องอาศัยตา เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา หูได้ยินเสียง ได้กลิ่นขณะนั้นก็เป็นจิตที่อาศัยจมูก ลิ้มรสเอาอะไรใส่ปาก แล้วก็มีชิวหาคือลิ้น ที่เราเรียกรวม แต่ความจริงก็เป็นรูปที่สามารถกระทบกับรส พอรู้รสเมื่อไร รู้ไม่ใช่รส รสเป็นอารมณ์ของจิตที่รู้รส เดี๋ยวนี้เห็นเร็วมากเลย เกิดดับ สิ่งที่ปรากฏทางตาก็เกิดดับ ใครรู้ แม้แต่รูป ไม่ว่าจะแข็งหรือเสียง หรือกลิ่น หรือเห็น หรือสิ่งที่ปรากฎให้เห็น เกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้

    รูปธรรมทั้งหมด ดับช้ากว่าจิต จิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ รูปๆ หนึ่งดับ เห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ แล้วคิด เพราะจำรูปร่างสัณฐาน จึงเข้าใจทันทีว่าเห็นพวงมาลัย คนละขณะแล้ว เห็น ลืมตาแล้วหลับตาเร็วๆ จะไม่รู้ว่าเป็นอะไร ใช่ไหมถ้าเร็วมากไม่รู้เลย แต่ถ้าช้าหน่อยก็พอจะหลับๆ ลืมๆ ก็รู้ว่าเห็นพวงมาลัย ใช่ไหม เป็นความจริงทุกอย่าง

    ต่อไปนี้เข้าใจหนึ่งขณะที่ย่อยที่สุด ละเอียดที่สุด เล็กที่สุด ไม่ปะปนกัน ว่าเห็นไม่ใช่เห็นพวงมาลัย เห็นสิ่งที่กระทบตาได้ พวงมาลัยกระทบตาไม่ได้ แข็งกระทบตาไม่ได้ เย็นกระทบตาไม่ได้ อ่อนกระทบตาไม่ได้ แต่ที่เย็น ที่ร้อน ที่อ่อน ที่แข็ง มีสิ่งหนึ่งคือ วรรณะ หรือ สีสันวรรณะที่กระทบตาได้ ปรากฏเป็นสีต่างๆ ตามส่วนสัดของการผสมของธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ซึ่งเพียงแค่นั้นยังปรากฏสีสันวรรณะต่างๆ เมื่อกระทบตา

    นี่คือความละเอียดอย่างยิ่ง แม้แต่สีต่างๆ อยู่ที่รูปต่างๆ ทำให้เกิดกลิ่นต่างๆ รสต่างๆ โดยที่ใครก็ไม่เคยคิด ว่าละเอียดอย่างนี้ ชั่วขณะอย่างนี้ ว่าเห็นเพียงสิ่งที่ปรากฏดับไปก่อน และความจำรูปร่างสัณฐานที่เหมือนปรากฏพร้อมกัน ทำให้เข้าใจว่า ผมเห็นพวงมาลัย ตอนนี้เข้าใจเเล้วว่า จิตเกิดดับเร็วมาก และจิตที่เห็น ไม่ใช่จิตที่คิด สภาพที่จำก็มีจริง แต่ไม่ใช่จิต ถ้าไม่จำก็จะไม่รู้ว่าเป็นอะไร มากเกินไปสำหรับหนูหรือเปล่า ยาวไป มากไปหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เปล่าครับ

    ท่านอาจารย์ เปล่า เก่งมากเลย และถ้าฟังซ้ำๆ จะยิ่งเข้าใจขึ้น ถ้าถามว่าอะไรล่ะคะที่จะทำให้เข้าใจ อะไรเป็นปัจจัย ก็คือการฟังคำ ซึ่งไม่เคยฟัง วันหนึ่งๆ เราคิดอะไร เราคิดเรื่องที่เรารู้บ่อยๆ เราเห็นอะไรบ่อยๆ เราชอบอะไรบ่อยๆ เราฟังเรื่องอะไรบ่อยๆ เราก็คิดแต่เรื่องนั้นใช่ไหม คนที่ชอบดนตรี ก็ไม่ชอบเย็บปักถักร้อย คนที่ชอบปลูกต้นไม้ ก็ไม่ชอบทำกับข้าว คนที่ชอบทำกับข้าว เขาคิดแต่เรื่องหมู เห็ด เป็ด ไก่ ผักต่างๆ เครื่องแกงต่างๆ คนที่ชอบเพลงดนตรี ก็คิดถึงเครื่องดนตรีต่างๆ สิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งคุ้นเคย ก็ย่อมทำให้คิดถึงสิ่งนั้น

    การที่จะเข้าใจธรรมขึ้น หนทางเดียว คือได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบ่อยๆ ครั้งแรกอาจจะรู้ว่ายากมาก ละเอียดมาก ลึกซึ้งมาก แต่ผู้ที่ได้สะสมการฟังด้วยศรัทธา เห็นไหมคำว่า ศรัทธามาแล้ว ต้องเป็นกุศลศรัทธา ต้องไม่ใช่โลภะ ไม่ใช่โทสะ ไม่ใช่โมหะ เมื่อมีศรัทธาเห็นประโยชน์แล้ว การฟังก็เพิ่มขึ้น ความเข้าใจกับเพิ่มขึ้น มิฉะนั้นจะไม่มีผู้ที่เป็นพระอริยบุคคล เพราะก่อนเป็นก็เหมือนคนธรรมดาอย่างนี้ แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น และอะไรที่มีจริง ที่ไม่ใช่เห็นอีก

    ผู้ฟัง มีความคิด

    ท่านอาจารย์ มีความคิด ถูกต้อง เป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไร เพราะคิดจริงๆ จะบอกว่าไม่มีคิดได้อย่างไร ก็คิดแล้ว ใช่ไหม เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม ที่มีจริง สิ่งนั้นเป็นธรรม แล้ว คิดเป็นเห็นหรือเปล่า

    ผู้ฟัง คิดไม่ใช่เห็น

    ท่านอาจารย์ คิดเป็นได้ยินหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เปล่า

    ท่านอาจารย์ แสดงว่าธรรมหลากหลายมาก และจะมากกว่านี้อีก ถ้าได้ฟังต่อไป แล้วก็เป็นความจริงในชีวิตประจำวัน เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือยัง

    ผู้ฟัง เริ่มแล้วครับ

    ท่านอาจารย์ เป็นพระพุทธรูปหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เปล่าครับ

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง พระพุทธรูปเป็นแต่เพียงเครื่องหมาย ให้ระลึกถึงพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลากราบ ถึงแม้ว่าที่นั่นไม่มี พระพุทธรูปกราบได้ไหม แทบพระบาท ที่ไหนก็ได้เมื่อระลึกถึงพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แสดงให้เห็นว่าถ้าฟัง ไม่ว่าจะเป็นวัยไหน ขอให้ฟังเถอะ ฟังด้วยความศรัทธา ด้วยการเห็นประโยชน์ว่า ได้ฟังคำที่ไม่ใช่คำของคนอื่น เป็นคำจริงทุกคำ แล้วก็มีจริงที่จะให้พิสูจน์ว่า คำที่ได้ฟังเป็นคำจริง มีจริงทุกกาลสมัย จะฟังต่อไปไหม ถ้าคุณแม่ฟังด้วย

    ผู้ฟัง ยายผมดูทุกวันเลยครับในวิทยุ

    ท่านอาจารย์ หรือคะ ขออนุโมทนาค่ะ ฝากอนุโมทนาคุณยายด้วยนะคะ

    ผู้ฟัง ขอบคุณครับ

    อ.คำปั่น น้องกฤษณะ นิดนึงครับ หลังจากที่ได้ฟังท่านอาจารย์ และ อ.อรรณพได้สนทนา พอได้ฟังแล้ว จะไปทำสมาธิ หรือว่าจะฟังพระธรรมต่อไป

    ท่านอาจารย์ ได้ยินคำถามหรือยังคะ

    ผู้ฟัง ได้ยินแล้ว

    ท่านอาจารย์ ให้เวลาคิด ตอบ

    ผู้ฟัง ฟังธรรมครับ

    ท่านอาจารย์ ต้องมีเวลาคิดด้วย

    อ.คำปั่น อนุโมทนาครับ

    ท่านอาจารย์ ยังไม่พอ เพราะอะไร ทำไมไม่ทำสมาธิ แต่จะฟังธรรม เพราะอะไร

    ผู้ฟัง เพราะว่าฟังธรรมแล้ว ก็อยากจะรู้เรื่องราวเกี่ยวกับธรรม

    ท่านอาจารย์ จะเข้าใจขึ้น รู้เรื่องราวเกี่ยวกับธรรมขึ้น


    หมายเลข 10857
    1 พ.ค. 2567