ควรจะรู้ความจริง


    อ.อรรณพ ควรจะรู้อะไร จากคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า


    ผู้ฟัง มีอะไรบ้าง ที่เราจะต้องศึกษา หรือจะต้องเข้าใจ สิ่งที่ท่านแสดงหรือท่านมอบให้กับพวกเรา

    ท่านอาจารย์ คุณความดีต่างๆ เกิดขึ้นเมื่อไร เป็นที่นิยมเมื่อนั้น พระอรหันต์จะสัมมาสัมพุทธเจ้า กายของพระองค์เป็นอย่างไร วาจาของพระองค์เป็นอย่างไร เพราะใจของพระองค์ เป็นเหตุให้กายเป็นอย่างนั้น วาจาเป็นอย่างนั้น ความที่ทรงบำเพ็ญบารมี และก็มีพระปัญญาทั้งหมด แต่ละคำเป็นคำจริง แม้แต่ขณะที่กำลังกล่าวธรรม ทอดพระเนตรลงต่ำ เพราะว่ามีผู้ที่นั่งไม่เสมอกับพระองค์แน่นอน และก็กล่าวธรรมทุกคำด้วยพระมหากรุณา ก็ไม่ทราบว่าใครเคยเฝ้า เคยเห็น เคยฟัง ๒,๕๐๐ กว่าปี

    พระผู้มีพระภาคก่อนนั้นเป็นพระโพธิสัตว์ ทรงบำเพ็ญพระบารมีมากมาย ก็เหมือนทุกคน คนที่ยังมีกิเลส ก็เป็นอย่างหนึ่ง คนที่มีคุณความดี ได้พิจารณาไตร่ตรอง เริ่มตั้งแต่รู้ว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ ที่เกิดมาแล้วก็ต้องจากไป ไม่มีอะไรเป็นของเราเลยสักอย่าง ผมสักเส้นหนึ่ง ฟันสักซี่หนึ่ง ก็เอาไปไม่ได้เลย แล้วอะไรจะเป็นของเรา อยู่ข้างนอกเป็นของเราไม่ได้แน่ แต่ที่ตัวแท้ๆ ก็ยังไม่ใช่ของเราจริงๆ ผู้ที่ทรงแสดงความจริง ให้เห็นความจริง เพื่อที่ว่าจะได้ละความไม่รู้ และความติดข้อง เพราะไม่รู้ทุกคนจึงทำสิ่งที่ไม่ดี แต่ถ้ามีปัญญา เห็นโทษของความไม่รู้ และก็รู้ว่าความดีก็ต่างกับความไม่รู้ ความดีไม่เคยนำสิ่งที่เป็นโทษมาให้เลยสักอย่างเดียว และก็ความดีเท่านั้นยังไม่พอ ต้องเป็นปัญญาที่สามารถชำระจิตใจ ให้บริสุทธิ์จากความไม่รู้ด้วย เพราะเหตุว่าความไม่รู้เป็นต้นเหตุของความไม่ดีทั้งหมด

    ถ้าเราได้เข้าใจความจริงว่า แท้ที่จริงแล้วไม่มีเรา หลงยึดถือว่าเป็นเรามานานแสนนาน หลงจริงๆ ทุกสิ่งทุกอย่างก็หมดไปเรื่อยๆ ปรากฏให้เห็น แต่ไม่เห็น อาหารที่รับประทานเมื่อสักครู่นี้ อยู่ไหน จากสิ่งที่อยู่ในจาน สวยงาม เรียบร้อย ก็มาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอยู่ในปาก และก็ย่อยสลายไป อยู่ไหน ไม่มีอะไรเหลือเลยสักอย่างเดียว ทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสิ่งที่ลวง เหมือนยังมีอยู่ เพราะอะไร เมื่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น และดับไป ก็มีสิ่งอื่นเกิดขึ้นสืบต่อ เร็วสนิทจนกระทั่งไม่รู้เลยว่าไม่ใช่อันเก่า เป็นแต่ละหนึ่งๆ ทุกคนก็เคยดูหนัง ใช่ไหม มีรูปภาพกี่รูป มองไม่เห็นเลย เห็นแต่เป็นสิ่งที่เกิดดับสืบต่อตลอดเวลา แล้วจะต่างอะไรกับขณะนี้ ธรรมเป็นเรื่องที่สามารถจะเริ่มเข้าใจ จากการคิดถึงชีวิตจริงๆ ของเราเอง ของญาติพี่น้องของเพื่อนฝูง ของประเทศ ชาติโน้น ชาตินี้ หลากหลายมาก ทำไมไม่เหมือนกัน ก็ต้องมีเหตุปัจจัยที่จะต้องเป็นหลากหลาย

    ทุกคนก็เริ่มพิจารณาว่า ความทุกข์ทั้งหลายมาจากไหน แล้วก็รู้สาเหตุว่า อะไรจริงๆ ที่เป็นทุกข์ และทุกข์ยิ่งกว่าทุกข์ใดๆ ทั้งสิ้น คืออะไร ถ้าจะถามบางคนอาจจะบอกว่า ความตายเป็นทุกข์ ต้องพลัดพรากจากทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ทุกข์ยิ่งกว่านั้น มีหรือไม่ ทุกข์ที่เดี๋ยวนี้เอง ตายทุกขณะ ตายหมายความว่าดับไป แล้วไม่กลับมาอีก คิดเมื่อสักครู่นี้ดับแล้ว ไม่กลับมาอีกเลย ไม่ว่าอะไรทั้งหมด ไม่ใช่แต่เฉพาะความคิด เห็นเดี่ยวนี้ดับไป ไม่กลับมาอีก เดี๋ยวนี้เห็นเท่าไร เกิดดับสืบต่อจนปรากฏเป็นรูปร่าง สัณฐานต่างๆ และสภาพที่จำ เห็นก็จำ ได้ยินก็จำ ความจำมีจริงแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง เป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีปัจจัยเกิดขึ้น รวมกันแล้วก็ปรากฏเหมือนสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง อย่างดอกไม้ดอกหนึ่ง ประกอบด้วยกี่กลีบ และก็กลีบนั้นย่อยออกไปได้หรือไม่ ให้ละเอียดที่สุด ก็ยังเป็นแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ที่มารวมกันฉันใด ทุกสิ่งทุกอย่างแม้รูปร่างกายของเราก็ฉันนั้น สิ่งหนึ่งสิ่งใดทั้งหมดไม่เว้นเลย ธรรมทั้งหมดเป็นอย่างนี้ เป็นแต่ละหนึ่ง ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ว่ากำลังเกิดดับ จนกว่าค่อยๆ เข้าใจขึ้น ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ในแต่ละหนึ่ง ว่าหนึ่งนี้ไม่ใช่หนึ่งนั้น เมื่อหนึ่งนี้ไม่ใช่หนึ่งนั้น หนึ่งนี้ดับก็ปรากฏว่า หนึ่งนี้ไม่ใช่หนึ่งที่เกิดต่อทันที ความจริงสามารถที่จะรู้ได้ ถ้ารู้ไม่ได้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดง แต่เพราะเหตุว่ามีผู้ที่สะสม ที่จะเห็นประโยชน์ของการที่ได้เข้าใจความจริง แล้วก็เป็นผู้ที่ตรงต่อความจริง

    มีใครไม่ชอบความจริงบ้าง ถามจริงๆ ว่ามีใครไม่ชอบความจริงบ้าง อาจจะชอบสิ่งที่หลอก สิ่งที่ลวง แต่ก็ยังรู้ว่าสิ่งนั้นลวง และหลอก ความจริงเป็นสิ่งที่ควรจะรู้ว่า ถึงแม้ว่าจะเป็นสิ่งที่ไม่น่าเพลิดเพลินยินดี ไม่น่าพอใจ แต่ความจริงเป็นอย่างนั้น เปลี่ยนความจริงไม่ได้ ก็รู้เสียดีกว่าไม่รู้ ใช่ไหม เราเปลี่ยนความจริงไม่ได้เลย ก็ควรจะรู้ความจริงนั้น ดีกว่าไม่รู้ อะไรเป็นทุกข์ เหนือทุกข์ใดๆ ยิ่งกว่าทุกข์ใดๆ ทั้งหมด ก็คือสิ่งที่มีนี้ไม่เที่ยง เที่ยงแปลว่ายั่งยืน สิ่งที่มีจริงขณะนี้ ไม่ยั่งยืนเลยสักอย่างเดียว ฟังแต่ละคำ แต่ละเสียง คิดตามคำที่ได้ยิน มีคำอื่นก็คิดตามคำอื่นต่อไป จึงมี ๖ โลก โลกทางตา ไม่มีอย่างอื่นมาเกี่ยวข้องด้วยเลยทั้งสิ้น คิดก็ไม่ได้เกี่ยวข้อง เสียง กลิ่นใดๆ ก็ไม่มี เพราะขณะนั้นมีสิ่งที่ปรากฏเพียงหนึ่ง แล้วแต่ว่าขณะนั้นจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ แต่ว่าการเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วมาก ก็ลวงให้เห็นว่าขณะนี้ไม่มีอะไรเกิด และก็ไม่มีอะไรดับเลย เป็นสิ่งที่ยากแต่รู้ได้

    สัจจะเป็นความจริง ถึงยากเพียงไร ก็สามารถที่จะรู้ความจริงได้ ดีกว่าอยู่ไปโดยถูกลวงตลอดเวลา เกิดมามีความสุข มีความสบาย มีอาหารอร่อยทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วอยู่ไหน ชั่วคราวจริงๆ แสนสั้น ความไม่รู้ก็จะทำให้ต้องเกิดต่อไป เกิดมาแล้วนานแสนนาน รู้ไม่ได้เลย แม้เมื่อวานนี้ดับไปแล้ว ก็ลืม ว่านี่อย่างไรที่ว่า เกิดมานานแสนนาน แม้เพียงแค่วันเดียว ยังนานแค่หนึ่งวัน ก่อนวันเมื่อวานนี้ ก็มีอีก มีอีก ถอยไป ก็ต้องเป็นอย่างนี้ เมื่อวันนี้เป็นอย่างนี้ พรุ่งนี้ก็เป็นอย่างนี้อีก ชาติหน้าต่อๆ ไป ก็เป็นอย่างนี้อีก ไม่จบสิ้น จนกว่าจะรู้ว่า แล้วมีประโยชน์อะไร แต่ละคำฟังสำหรับคิด สำหรับไตร่ตรอง สำหรับรู้ว่าจริงหรือไม่ เมื่อรู้ว่าจริง สิ่งนั้นควรเข้าใจให้ถูกต้องตามความเป็นจริงไหม ว่าขณะนี้ไม่ว่าอะไรก็ตาม ปรากฏแล้วดับ ถึงอาการเกิดขึ้นแล้วดับ ไม่ปรากฏ แต่เรื่องพิจารณาว่าจริงไหม แค่นี้ก่อน ถ้าจริงไหม แล้วฟังบ่อยๆ ฟังบ่อยๆ ก็จะมีความเข้าใจว่า เมื่อไรจะถึงวันที่พระโพธิสัตว์ ซึ่งเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้ จะได้ตรัสรู้ความจริง อย่างที่ได้ตรัสไว้แล้ว ให้ทุกคนได้เข้าใจถูกต้อง ซึ่งทุกคนก็จะเริ่มจากการฟังก่อน แล้วค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ มั่นคง โดยที่ว่า ไม่สามารถจะไปขวนขวายทำอะไรได้ ที่จะเปลี่ยนสภาพธรรม ไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ เกิดแล้วไม่ให้ดับก็ไม่ได้

    เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ จะรู้ความจริงได้เมื่อไร เมื่อกำลังปรากฏ ถ้ายังไม่เกิด ไม่ปรากฏ รู้ไม่ได้ ถ้าเราเป็นคนที่มีอัธยาศัยชอบสิ่งที่สวยงาม ก็เป็นเครื่องเตือน ว่าเราเห็นสิ่งที่ปรากฏ และก็เห็นความงาม ความน่าพอใจ ของสีสันที่ปรากฏ มานานเท่าไร จนกระทั่งเห็นอีก ความพอใจนั้นก็เกิดขึ้นอีก แต่ในสิ่งที่เพียงปรากฏ เพราะว่าสิ่งที่เราพอใจ ดับแล้ว เห็นใหม่ พอใจในสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น และก็จำไว้ด้วย แสวงหา แล้วลืมหรือไม่ สิ่งที่เราชอบมากๆ เราไปซื้อมา เดี๋ยวนี้อยู่ไหน ใครนึกออก ถ้าเป็นแหวนเพชร หรือแหวนทับทิม เพชรสีชมพู เพชรอะไรก็ตามแต่ เดี๋ยวนี้อยู่ไหน พอใจในขณะที่กำลังเห็น แน่นอนที่สุด มาก แล้วก็พอไม่เห็น จำได้ ความพอใจจะเท่ากับที่กำลังเห็นไหม ไม่เท่า ก็แสดงให้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างละเอียดอย่างยิ่ง เป็นความจริง แต่ว่าความจริงนั้นก็คือว่าความลวง ให้เห็นว่าแม้สิ่งนั้นดับไปแล้ว ก็ยังจำว่ามี ถ้าประจักษ์แจ้งความจริงอย่างนี้ ก็สามารถที่จะ ละเหตุของความทุกข์ คือความติดข้องว่ามีเรา


    หมายเลข 11389
    16 มี.ค. 2567