ติดข้องเพราะไม่รู้


    อ.อรรณพ เพราะไม่รู้ความเป็นจริงว่า ขณะนี้มีเพียงสภาพธรรมกำลังปรากฏเกิดดับ จึงติดข้องยึดถือว่าเป็นเราของเรา จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม และสะสม ความเข้าใจถูกเพิ่มขึ้น


    อ.ธิดารัตน์ ลักษณะของความไม่รู้ จะปกปิดสัจจธรรมอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ที่ติดข้องเพราะไม่รู้ เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่มี เเต่ไม่รู้ ความติดข้องต้องมี

    อ.ธิดารัตน์ ความติดข้องมี แล้วก็มีความไม่รู้ปกปิด แล้วก็ไม่รู้ ถึงความไม่รู้อีก

    ท่านอาจารย์ เพราะว่าไม่รู้ เกิดแล้วทั้งนั้น ไม่มีใครรู้เลย ก็ไม่รู้เหตุที่จะให้เกิดด้วย

    อ.ธิดารัตน์ ก็ปกปิดทั้งทุกข์

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้เองเลย มีความติดข้องเพราะไม่รู้ แค่นี้ก็พอที่จะรู้ว่าต้องละความติดข้อง จึงสามารถที่จะถึงนิพพานได้ อริยสัจจ์ที่ ๓ เดี๋ยวนี้กำลังติดข้องไม่รู้ และที่ติดข้องเดี๋ยวนี้เพราะไม่รู้ และก็มีอีก เกิดสืบต่อติดข้องอีก เพราะไม่รู้อีก ความติดข้องก็เกิดเพราะความไม่รู้ ก็เป็นอย่างนี้ตลอดไป

    อ.ธิดารัตน์ เพราะว่าลักษณะของโลภะ ก็ยังไม่รู้ตามความเป็นจริง และลักษณะของโมหะ ซึ่งละเอียด ก็ยังไม่รู้ตามความเป็นจริงอีก

    ท่านอาจารย์ ยังไม่ต้องไปถึงโลภะที่ละเอียด แค่ถามคนที่ไม่เคยฟังธรรมเลย ว่าธรรมคืออะไร เดี๋ยวนี้มีอะไร ก็ไม่รู้เลยสักอย่างเดียว การฟังธรรมจึงรู้ว่า ฟังเพื่อเข้าใจระดับไหน ขณะนี้กำลังมีสิ่งที่กำลังปรากฏ และแค่ฟังว่าขณะนี้ติดข้องแล้วในสิ่งที่ปรากฏ เพราะไม่รู้ ความไม่รู้ ความติดข้อง ทั้งสองอย่างก็ทำให้เกิดสิ่งที่มีขึ้น และก็ไม่รู้ต่อไป แล้วก็ติดข้องต่อไป เพราะว่าจะมีโลภะโดยไม่มีอวิชชาไม่ได้

    อ.อรรณพ อย่างผมเห็นดอกไม้ ก็รู้สึกสวยดี จะเป็นการติดข้องเพราะไม่รู้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ ยังไม่รู้อีกหรือ ว่าสิ่งที่ปรากฏทางตา คือเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ เพราะฉะนั้นไม่รู้อย่างนี้ จึงได้ติดข้องทั้งโลก ทุกวันที่บ้านตามท้องถนน ทุกหนทุกแห่ง มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ แล้วไม่รู้ ก็ติดข้องว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด มีคนที่บอกว่าเบื่อเห็น ไม่ใช่เบื่ออะไร ฟังแต่เรื่องเห็น ทั้งๆ ที่เห็น เห็นตลอดไม่เคยขาด ก็เบื่อ พูดแต่เรื่องเห็น ก็มีเห็นให้พูดถึง แล้วจะไม่พูดถึงเห็นได้อย่างไร แม้แต่เพียงดอกไม้สวยแน่ๆ เลย ขณะนั้นติดข้องเท่าไรแล้ว ไม่ใช่น้อยเลย เพราะไม่รู้ความจริงว่า ไม่ใช่แต่เพียงดอกไม้ ไม่ว่าอะไรทั้งหมดขณะนี้ที่ปรากฏ เพียงปรากฏให้เห็น แล้วถ้าคิดให้ลึกซึ้งต่อไป ดับด้วยไม่เหลือเลยด้วย แต่สืบต่อจนปิดบัง ไม่ให้เห็นการเกิดดับของสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็น แล้วยังจำไว้ด้วย แล้วก็คิดว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงด้วย กำลังเห็นกำลังฟัง กำลังติดข้อง เป็นธรรมดา

    อ.อรรณพ เป็นธรรมดา

    ท่านอาจารย์ จนกว่าคำจริงเหล่านี้ ต้องอีกนานเท่าไร ฟังบ่อยๆ ไม่ใช่เบื่อบ่อยๆ แต่ว่าฟังบ่อยๆ เบื่อเห็นได้อย่างไร ก็มีเห็น และก็เบื่อเห็น ทั้งๆ ที่ไม่รู้ความจริงของเห็น เพราะฉะนั้นฟัง สิ่งนี้เพียงปรากฏให้เห็นได้ ไตร่ตรอง ไม่ลืม เพราะว่าทั้งๆ ที่ฟังอย่างนี้ก็เห็นเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นต้นไม้ เป็นดอกไม้ เป็นธรรมดา ต้องเข้าใจว่านี่เป็นธรรมดาของปัญญา ที่ฟังแล้วเข้าใจ เพียงเข้าใจสิ่งที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อน แล้วก็กำลังมีคำใหม่ ซึ่งทำให้ต้องคิด ต้องไตร่ตรอง ว่าจริงหรือไม่ สิ่งนี้อยู่ที่ไหน ถ้าไม่มีมหาภูตรูปเลย ก็ไม่ปรากฏจะมีได้อย่างไร และมหาภูตรูป ทุกคนก็รู้ว่าเกิดแล้วก็ดับอยู่ตลอดเวลาด้วย สิ่งที่ปรากฏทางตาขณะนี้ ถ้าปัญญามั่นคงเพราะว่าได้ฟังมานานแสนนาน อย่าไปนับเลยว่านานเท่าไร จนกว่าผู้นั้นเองจะรู้ได้ เริ่มคลาย การที่จะคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน ไม่ใช่ขณะนั้น ขณะนี้ ที่สภาพธรรมกำลังปรากฏเกิดดับ โดยไม่เข้าใจอะไรเลย ไม่มีทาง แต่ต้องเป็นชีวิตประจำวันที่มีการฟัง เเล้วก็มีการเข้าใจขึ้น แล้วก็สนุกสนานก็เป็นเรื่องทดสอบว่ามีความเข้าใจธรรมแค่ไหน เพราะว่าขณะนั้นก็ไม่รู้ว่าเป็นธรรม ไม่ว่าจะโศกเศร้า ไม่ว่าจะสนุกสนาน ไม่ว่าจะตื่นเต้น ทั้งหมดก็ไม่รู้ว่าเป็นธรรม จนกว่าทั้งหมดเป็นธรรม ก็ฟังเข้าใจ แล้ววันหนึ่งจะรู้ได้ว่า ค่อยๆ เข้าใจ ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ทุกชาติ ไม่มีอะไร แล้วก็มีชาติหนึ่งก็จบไป โดยการที่เกิดมาแล้ว ก็มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ แล้วก็ติดข้อง แล้วก็ไม่เหลือเลย มีอะไรเหลือบ้าง เมื่อวานนี้ ไม่ใช่คนนี้ ที่อยู่ตรงนี้ ทุกรูปเกิดดับสืบต่อ ไม่ว่าจะเป็นเห็น เป็นได้ยิน เป็นคิดนึก ก็เกิดเพียงเพื่อจะมีสิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วไม่เหลือเลย เกิดเพื่อที่จะมีสิ่งที่ปรากฏ ด้วยความไม่รู้ ด้วยความติดข้อง ไม่รู้แค่ไหน ติดข้องแค่ไหน

    อ.อรรณพ ท่านอาจารย์กล่าวว่า ติดข้องเพราะไม่รู้ แต่ว่าสำหรับผู้ที่ฟังธรรมแล้วเข้าใจ ทั้งๆ รู้ก็ยังติด

    ท่านอาจารย์ ก็จะได้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า เข้าใจธรรมแค่ไหน

    อ.อรรณพ ก็รู้ตามที่ท่านอาจารย์กล่าว ว่าเป็นธรรม เกิดแล้วดับ

    ท่านอาจารย์ อะไรก็ตาม รู้แล้วก็ติด ติดข้องไปอีกนานก็ได้ และก็รู้ไปเรื่อยๆ และก็ติดข้องไปอีกนานก็ได้ เป็นการพิสูจน์ความจริงว่าเข้าใจความเป็นธรรมแค่ไหน ถ้าเข้าใจว่าเป็นธรรมจริงๆ ไม่เดือดร้อนเลย กว่าจะข้ามแต่ละขั้น เป็นธรรม เพื่อคำนี้คำเดียว เพราะว่าได้ฟังคำว่าธรรม ไม่ใช่เรา เป็นสิ่งที่มีจริง ฟังมานานสักเท่าไร จนกว่าจริงอย่างนี้เมื่อนั้น จึงได้รู้ว่าเพราะได้ฟังมานานเท่าไรก็ไม่รู้ แต่ว่าจะมีความเข้าใจ เข้าใจว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ จะมากจะน้อยไม่สำคัญเลย เปลี่ยนไม่ได้ ถ้าเข้าใจมากก็เปลี่ยนไม่ได้ ให้มากกว่านั้นก็ไม่ได้ ให้น้อยกว่านั้นก็ไม่ได้ ถ้าเข้าใจน้อยจะให้เพิ่มขึ้นมากๆ ก็ไม่ได้ ก็เป็นอย่างไร ก็ต้องเป็นอย่างนั้น นั่นคือเป็นผู้ที่มีความมั่นคงจริงๆ ว่าเป็นธรรม


    หมายเลข 11464
    23 มี.ค. 2567