ความตั้งใจ


        อ.อรรณพ ความเข้าใจธรรมะต้องเป็นแต่ละหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่เหมือนอย่างที่เคยคิดด้วย ความเคยชิน เช่น เจตนาคือความตั้งใจ เป็นเจตสิกที่เกิดกับจิตทุกขณะ ทำหน้าที่ขวนขวายในการรู้อารมณ์


        ท่านอาจารย์ ธรรมมีแน่นอน พูดเรื่องธรรม ๓ ปิฎก ได้ยินทั้งหมดอรรถกถา ฎีกา แต่ว่าเข้าใจแค่ไหน แล้วก็เข้าใจจนถึงรู้จักตัวธรรมเดี่ยวนี้หรือไม่ เพราะเราบอกว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงๆ คือสิ่งที่ภาษาบาลีใช้คำว่าธรรม สิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ คิด ไม่ใช่ว่าจะศึกษาเจตสิก ๕๒ หมดเลยจิต ๘๙ หมดเลย ทุกสิ่งทุกอย่าง เพียงว่าแต่ละหนึ่ง ขอให้ฟังจนกระทั่งมีความเข้าใจที่มั่นคงว่า เพราะเป็นอย่างนี้ จึงไม่ใช่เรา ความจงใจ ความตั้งใจ ในชีวิตประจำวัน พอจะรู้ใช่ไหม ตั้งใจทำอะไรบ้าง คุณคำปั่น

        อ.คำปั่น ตั้งใจฟังธรรม

        ท่านอาจารย์ ตั้งใจฟังธรรม ใช่หรือไม่ ก็คือขณะนั้นฟัง ในขณะที่ฟังได้ยินเสียง มีความตั้งใจที่จะฟัง สภาพธรรมหลายๆ ขณะ เกิดดับสืบต่อเร็วมาก จนไม่ปรากฏว่าขณะไหน เป็นความตั้งใจจะฟัง ขณะไหนได้ยิน ไม่ใช่ตั้งใจที่จะฟัง นี่คือความละเอียดอย่างยิ่งของธรรม ประมาทไม่ได้เลยทุกคำ ขณะที่ตั้งใจฟัง ไม่ใช่ขณะที่ได้ยิน แต่ได้ยินถ้าจะกล่าวถึงสภาพธรรม ซึ่งเป็นเจตนาเจตสิกก็มี แต่ไม่ใช่ตั้งใจฟัง เป็นความละเอียดอย่างยิ่งว่า เวลานี้ถ้ามีเสียงดังเกิดขึ้น ทุกคนได้ยิน ตั้งใจได้ยินเสียงนั้นหรือไม่ ในความคิดของเรา ซึ่งไม่รู้เลย เราก็บอกว่าเราไม่ได้ตั้งใจฟัง อย่างเสียงฟ้าร้อง ใครตั้งใจฟัง ยังไม่ทันรู้เลย มีฟ้าร้องปรากฏเกิดขึ้น มีได้ยินแล้ว และเราก็จะเห็นความต่างว่า แม้แต่ตั้งใจที่เราใช้คำว่าเจตนา เราเข้าใจเพียงบางประการ อย่างบอกว่าตั้งใจที่จะฟังธรรม อันนั้นเข้าใจ ตั้งใจที่จะไปซื้อของ ก็เข้าใจอีก เราพูดถึงตั้งใจที่เราเข้าใจ แต่สภาพเจตนาเจตสิก เราไม่สามารถที่จะรู้จักได้

        เพราะเหตุว่าเราต้องเริ่มด้วยการที่ฟังเข้าใจ หนทางที่จะรู้จักธรรมมีหรือไม่ เวลานี้เป็นธรรมทั้งหมด ไม่มีใครปฏิเสธได้เลย และหนทางที่จะไม่ใช่เพียงแค่ฟัง เรื่องของธรรมทั้งหมดทีละหนึ่งๆ เดี๋ยวนี้ แต่ว่าหนคนทางที่จะรู้จักธรรมทีละหนึ่ง มีหรือไม่

        อ.อรรณพ โดยการที่ค่อยๆ ฟัง แล้วก็ค่อยเข้าใจ

        ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มี ไร้ประโยชน์ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงแสดง ถ้าใครก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ ต้องรู้ว่าสิ่งที่ได้ยินได้ฟังทั้งหมด ซึ่งขณะนี้เป็นแต่เพียงเข้าใจเรื่องราวของแต่ละหนึ่ง ซึ่งก็ต้องเข้าใจถึงความละเอียด เมื่อกล่าวถึงสภาพธรรมหนึ่ง สภาพธรรมใด ปริยัติ คือรอบรู้ในคำนั้น แล้วไม่เปลี่ยนแปลง มั่นคง จนกระทั่งเป็นสัจจญาณ สามารถที่จะเข้าใจอย่างนี้ มีการเข้าถึงสภาพธรรม ซึ่งไม่ใช่เราเพิ่มขึ้นตามกำลังของการฟัง แล้วเข้าใจธรรมแต่ละหนึ่ง เรารู้ลักษณะของสภาพธรรมน้อยมาก ใช่ไหม ฟังสักเท่าไหร่ก็ยังรู้ลักษณะของสภาพธรรมน้อยมาก อย่างมีคำที่ว่าไม่ตั้งใจ มาแล้วใช่หรือไม่ ไม่ตั้งใจ

        อ.อรรณพ พูดกันติดปาก

        ท่านอาจารย์ ไม่ตั้งใจ เพราะไม่รู้ แสดงว่าลักษณะของสภาพของธรรมอย่างหนึ่งจะปรากฏ เมื่อมีความตั้งใจ จะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด ถูกต้องไหม วันนี้ตั้งใจทำอะไรบ้าง ขณะที่ตั้งใจมีความรู้สึกตั้งใจจริงๆ ที่จะทำสิ่งนั้น แต่ทั้งวันมีใครจะบอกว่าตั้งใจทุกขณะเลย บอกไม่ได้เพราะว่าลักษณะที่จงใจ ไม่ได้ปรากฏ สภาพธรรมนี้ เวลาที่ไม่ใช่เป็นสภาพตั้งใจที่ปรากฏว่าตั้งใจ แต่ต้องเกิดกับจิตทุกขณะ นี่คือคำสอนจากการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ต้องฟังให้ละเอียด กว่าจะรู้จักเจตนา คือหนึ่งเป็นธรรม แล้วก็ไม่ใช่เรา แล้วก็เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย และก็ต้องเกิดกับจิตเพราะเป็นเจตสิก และเป็นสภาพธรรมที่เกิดกับจิตทุกขณะ ทุกประเภท ไม่ว่าจิตนั้นจะเป็นจิตอะไร ก็มีเจตนาเจตสิกเกิดร่วมด้วย แต่เรารู้หรือไม่ ไม่รู้ รู้แต่ขณะที่กำลังจงใจ ตั้งใจ ทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด กิจอื่นของเจตนาไม่ได้ปรากฏ เช่นในขณะเห็น ใครตั้งใจเห็น แต่มีเจตนาเจตสิกเกิดร่วมด้วย

        นี้คือพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วใครล่ะที่จะไม่ต้องฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คิดว่าตนเองสามารถจะรู้ธรรมถึงวิปัสสนาญาณ ดับกิเลสด้วยความเขลา ด้วยความไม่รู้จริงๆ ว่า แท้ที่จริงแล้วไม่ได้รู้อะไรเลย แต่มีความเห็นผิด เข้าใจผิด ว่ารู้แล้วจนกว่าการศึกษาพระธรรมเป็นที่พึ่งจริงๆ ที่จะทำให้เห็นความต่าง ของคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับบุคคลอื่น ว่าไม่เหมือนกันเลย คนอื่นพูดคำที่ใครๆ ก็พูดได้ แต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคำที่คนอื่นพูดไม่ได้ ถ้าไม่ได้ฟังพระองค์ เช่นขณะที่เห็น มีเจตนาเจตสิกเกิดร่วมด้วย ทุกคนก็บอกว่าไม่ตั้งใจได้ยิน ไม่ตั้งใจได้กลิ่น ถ้าเกิดได้กลิ่นขึ้น แต่แม้ขณะที่กำลังได้กลิ่น เจตนาเจตสิกเกิด กระทำกิจกระตุ้นเตือนสหชาตธรรม คือเจตสิก และจิต ซึ่งเกิดร่วมกัน ให้ทำกิจของตนๆ คิดดูใครจะรู้ ทรงอุปมาว่าเหมือนหัวหน้านักเรียน หัวหน้านักเรียนก็ต้องบอกกับนักเรียนอื่นๆ ซึ่งไม่ใช่เป็นหัวหน้า ให้ทำอะไรฉันใด เจตนาเจตสิกก็ฉันนั้น และลองคิดดู แค่เกิดหนึ่งขณะ หนึ่งขณะใครจะรู้ว่าแค่ไหน ขณะนี้นับไม่ถ้วน กว่าจะเป็นดอกไม้ดอกนึงก็มีตั้งหลายกลีบ และมีตั้งลายดอก และก็มีคนด้วยมีอะไรด้วย

        สภาพการเกิดดับของธรรมคือจิต เจตสิก ไม่มีใครสามารถจะประมาณได้แต่พระปัญญาคุณ เพื่อที่จะให้สัตว์โลกได้เข้าใจถูกต้อง ว่าไม่มีเรา แต่ว่ามีธรรมเท่านั้น แต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ก็ทรงแสดงความละเอียดยิ่ง ฟังวันนี้ไม่ใช่จะรู้วันนี้ อีกกี่กัป เมื่อสักครู่เราพูดแล้วใช่หรือไม่ อยู่มาแล้วกี่กัปด้วยความไม่รู้ อยู่ต่อไปอีกกี่กัป ด้วยการที่ความรู้จักค่อยๆ เพิ่มขึ้น แม้พระโพธิสัตว์ก็ยังมีการฟังธรรม และเห็นคุณค่าประโยชน์จนกว่าจะตั้งความปรารถนา และจนกว่าจะได้รับคำพยากรณ์ จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง แล้วยังต้องทรงบำเพ็ญพระบารมี เพื่อที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ตรงตามความเป็นจริงของสิ่งนั้น ไม่ต้องห่วงเลย ใครห่วง


    หมายเลข 11475
    6 มี.ค. 2567