พระโลสกติสสเถระ


    ข้อความในอรรถกถาชาดก เอกนิบาต อรรถกถาอัตถกามวรรคที่ ๕ อรรถกถาโลสกชาดกที่ ๑

    ในครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภพระโลสกติสสเถระ และได้ตรัสประวัติของท่าน ซึ่งประวัติโดยย่อของท่านมีว่า

    ท่านพระโลสกติสสเถระเป็นบุตรของชาวประมงคนหนึ่ง ในแคว้นโกศล เป็นผู้ทำลายตระกูลวงศ์ของตน เพราะว่าตั้งแต่ท่านเกิดมาในครรภ์มารดานั้น ครอบครัวของท่านก็ประสบภัยพิบัติเรื่อยมา  บ้านเรือนถูกไฟไหม้ถึง ๗ ครั้ง

    คนสมัยนี้มีไหมคะ อาจจะมีก็ได้ แล้วแต่กรรมของใครจะให้ผลอย่างไร เมื่อไรถูกพระราชาปรับสินไหม ๗ ครั้ง

    ครั้งนั้น มารดาบิดาของเขาเลี้ยงชีพมาโดยแร้นแค้น พอท้องแก่ก็คลอด ณ ที่แห่งหนึ่ง แต่ธรรมดา ท่านผู้เป็นสัตว์เกิดมาในภพสุดท้าย คือจะเป็นพระอรหันต์นั้น ใครๆไม่อาจทำลายได้ เพราะมีอุปนิสัยแห่งอรหัตผล  การสะสมคุณธรรมทั้งหลายที่จะเป็นพระอรหันต์ รุ่งเรืองอยู่ในใจเหมือนดวงประทีปภายในหม้อ  ฉะนั้น มารดาเลี้ยงเขามาจนถึง ในเวลาที่เขาวิ่งเที่ยวไปมาได้ ก็เอากะโล่ดินเผาใบหนึ่งใส่มือให้ พลางเสือกไส ด้วยคำว่า ลูกเอ๋ย เจ้าจงไปสู่เรือนหลังนั้นเถิด ดังนี้แล้วหลบหนีไป

    ตั้งแต่นั้นมา เขาก็อยู่อย่างเดียวดาย เที่ยวหากินไปตามประสา หลับนอน ณ ที่แห่งหนึ่ง ไม่ได้อาบน้ำ ไม่ได้ปรนนิบัติร่างกาย ดูเหมือนปีศาจคลุกฝุ่น เลี้ยงชีวิตมาได้โดยลำบาก เขามีอายุครบ ๗ ขวบ โดยลำดับ เลือกเม็ดข้าวกินทีละเม็ด เหมือนกาในที่สำหรับเทน้ำล้างหม้อ ใกล้ประตูเรือนแห่งหนึ่ง

    ความทุกข์ยากจนเป็นผลของอกุศลกรรม ไม่ว่าในอดีตสมัยหรือในอนาคต หรือแม้ในสมัยนี้ ก็มีผู้มีความยากลำบาก ถ้าจะเทียบกับท่านพระโลสกติสสเถระ จะเห็นได้ว่า ตอนเป็นเด็กอายุ ๗ ขวบ ท่านถึงกับเลือกเม็ดข้าวกินทีละเม็ดเหมือนกาในที่สำหรับเทน้ำล้างหม้อ ใกล้ประตูเรือนแห่งหนึ่ง

    ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตรเที่ยวบิณฑบาตอยู่ในเมืองสาวัตถี เห็นท่านแล้วรำพึงว่า เด็กคนนี้น่าสงสารนัก เป็นชาวบ้านไหนหนอ แผ่เมตตาจิตไปในท่านเพิ่มยิ่งขึ้น แล้วเรียกให้มาหา ถามถึงพ่อแม่ เมื่อได้ทราบว่าพ่อแม่ทิ้งไป ก็ถามว่า ท่านจักบวชไหม  ท่านก็ตอบว่า  อยากบวช ซึ่งท่านพระสารีบุตรก็ให้ของเคี้ยว ของบริโภคแก่ท่าน แล้วพาไปวิหาร อาบน้ำให้เอง ให้บรรพชา จนอายุครบ จึงให้อุปสมบท

    ในตอนแก่ท่านมีชื่อว่า "โลสกติสสเถระ" เป็นพระไม่มีบุญ มีลาภน้อย

    เล่ากันว่า แม้ในคราวอสทิสทาน ท่านก็ไม่เคยได้ฉันเต็มท้อง ได้ขบฉันเพียงพอจะสืบต่อชีวิตไปได้เท่านั้น เพราะเมื่อใครใส่บาตรท่านเพียงข้าวต้มกระบวยเดียว บาตรก็ปรากฏเหมือนเต็มเสมอขอบแล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้นคนทั้งหลายก็สำคัญว่า บาตรของภิกษุรูปนี้เต็มแล้ว เลยถวายองค์หลังๆ

    สำหรับอสทิสทาน คือ ทานที่ไม่มีใครเหมือน คือเป็นทานที่มโหฬารยิ่ง

    ในสมัยต่อมา ท่านเจริญวิปัสสนา แม้จะดำรงในพระอรหันต์อันเป็นผลชั้นยอด ก็ยังคงมีลาภน้อย ครั้นเมื่ออายุสังขารของท่านล่วงโรยทรุดโทรมลง โดยลำดับ ก็ถึงวันเป็นที่ปรินิพพาน.

    ท่านพระสารีบุตรคำนึงอยู่ ก็รู้ถึงการปรินิพพานของท่าน จึงดำริว่า วันนี้ พระโลสกติสสเถระนี้จักปรินิพพานในวันนี้ เราควรให้อาหารแก่เธอจนพอ

    เมื่อท่านคิดอย่างนี้แล้วก็พาท่านเข้าไปสู่เมืองสาวัตถี เพื่อบิณฑบาต เพราะเหตุว่าท่านพระสารีบุตรพาท่านพระโลสกติสสเถระไปด้วย ท่านพระสารีบุตรเลยไม่ได้แม้เพียงการยกมือไหว้ ในเมืองสาวัตถีอันมีผู้คนมากมาย

    พระเถระจึงกล่าวว่า อาวุโส เธอจงไปนั่งคอยอยู่ที่โรงฉันเถิด ดังนี้แล้วส่งท่านกลับไป

    พอพระเถระมาจากที่นั้นเท่านั้น พวกมนุษย์ก็พูดกันว่า พระผู้เป็นเจ้ามาแล้ว นิมนต์ให้นั่งเหนืออาสนะ ให้ฉันภัตตาหาร

    พระเถระก็ส่งอาหารที่ได้แล้วนั้นไป โดยกล่าวกับคนเหล่านั้นว่า พวกเธอจงให้ภัตรนี้แก่พระโลสกติสสเถระ คนที่รับภัตรนั้นไปก็ลืมพระโลสกติสสเถระ พากันกินเสียหมด

    ไม่มีทางที่จะได้อาหารเต็มท้องเลย ซึ่งก็จะได้ทราบว่า ในอดีตชาติท่านได้ทำกรรมอะไรไว้

    เมื่อท่านพระสารีบุตรเดินไปถึงวิหาร พระโลสกติสสเถระก็ไปนมัสการท่านพระสารีบุตร

    ท่านพระสารีบุตรก็ถามว่า อาวุโส คุณได้อาหารแล้วหรือ?

    ท่านตอบว่า ไม่ได้ดอกครับ

    พระเถระถึงความสลดใจ เมื่อท่านดูเวลา ก็เห็นว่า ยังไม่ล่วงเลยกาลที่จะบริโภคจึงให้พระโลสกติสสเถระนั่งรอในโรงฉัน แล้วก็ไปสู่พระราชวังของพระเจ้าโกศล. พระราชารับสั่งให้รับบาตรของพระเถระ ทรงพิจารณาว่า มิใช่กาลแห่งภัตร จึงรับสั่งให้ถวายของหวาน ๔ อย่างจนเต็มบาตร ท่านพระสารีบุตรรับบาตรกลับไปถึงวิหาร เรียกพระโลสกติสสเถระมาแล้วบอกว่า ให้ฉันของหวาน ๔ อย่างนี้โดยท่านถือบาตรยืนอยู่ แล้วให้ท่านพระโลสกติสสเถระนั่งฉัน พระโลสกติสสเถระมีความยำเกรงในท่านพระสารีบุตร เห็นว่าท่านจะลำบากในการยืนถือบาตรแล้วให้ท่านนั่งฉัน เพราะฉะนั้นท่านก็ไม่ฉัน

    แต่ท่านพระสารีบุตรกล่าวกะท่านว่า ท่านผู้มีอายุติสสะ ผมจะยืนถือบาตรไว้ คุณจงนั่งฉัน ถ้าผมปล่อยบาตรจากมือ บาตรต้องไม่มีอะไร

    ลำดับนั้น ท่านพระโลสกติสสเถระ เมื่อท่านพระสารีบุตรผู้เป็นอัครสาวกยืนถือบาตรไว้ให้ จึงนั่งฉันของหวาน ๔ อย่าง ของหวาน ๔ อย่างนั้นไม่ถึงความหมดสิ้น ด้วยกำลังแห่งฤทธิ์ของพระเถระ พระโลสกติสสเถระฉันจนเต็มความต้องการ  ในเวลานั้นในวันนั้นเอง ท่านก็ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับในสำนักของท่าน ทรงรับสั่งให้กระทำการปลงสรีระ เก็บเอาธาตุทั้งหลายก่อพระเจดีย์บรรจุไว้

    ในเวลานั้น ภิกษุทั้งหลายประชุมกันในธรรมสภา นั่งสนทนากันว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย น่าอัศจรรย์จริง ท่านพระโลสกติสสเถระมีบุญน้อย มีลาภน้อย อันผู้มีบุญน้อย มีลาภน้อย เห็นปานดังนี้ บรรลุอริยธรรมได้อย่างไร

    นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนก็น่าสงสัยว่า เพราะเหตุใดผู้ที่จะบรรลุอริยสัจธรรมแล้วยังจะต้องเป็นผู้มีลาภน้อยถึงอย่างนี้

    พระบรมศาสดาเสด็จไปธรรมสภา มีพระดำรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย เมื่อกี้พวกเธอประชุมกันด้วยเรื่องอะไรเล่า?

    เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว.

    พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย โลสกติสสะผู้นี้ได้ประกอบกรรม คือความเป็นผู้มีลาภน้อย และความเป็นผู้ได้อริยธรรมของตน ด้วยตนเอง เนื่องด้วยครั้งก่อน เธอกระทำอันตรายลาภของผู้อื่น จึงเป็นผู้มีลาภน้อย แต่เป็นผู้บรรลุอริยธรรมได้ด้วยผลที่บำเพ็ญวิปัสสนา คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

    แล้วพระผู้มีพระภาคก็ได้ตรัสเล่าอดีตชาติของท่านพระโลสกติสสเถระ ซึ่งข้อความบางตอนมีวา

    ในอดีตกาล ครั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า กัสสปะ. มีภิกษุรูปหนึ่งอาศัยกุฏุมพีผู้หนึ่ง อยู่ในอาวาสประจำหมู่บ้าน เป็นผู้เรียบร้อย มีศีล หมั่นบำเพ็ญวิปัสสนา  นี่คือยามปกติ คือ เป็นผู้เรียบร้อย มีศีล หมั่นบำเพ็ญวิปัสสนา

    ครั้งนั้น มีพระอรหันต์องค์หนึ่งอยู่ในป่าหิมพานต์ ได้มาถึงบ้านที่อยู่ของกุฏุมพีผู้อุปัฏฐากภิกษุนั้น  กุฏุมพีนั้นเลื่อมใสในอิริยาบถของพระอรหันต์ จึงรับบาตร นิมนต์เข้าสู่เรือน ให้ฉันภัตตาหารโดยเคารพ สดับพระธรรมกถาเล็กน้อย ไหว้พระเถระ แล้วนิมนต์ไปสู่วิหารใกล้บ้านของตน  พระเถระก็ไปสู่วิหารนั้น นมัสการพระเถระซึ่งเป็นเจ้าอาวาส

    พระอรหันต์ยังไหว้เจ้าอาวาสซึ่งเป็นผู้มีกิเลสตามพระวินัย  ซึ่งเมื่อได้ทักถามกันแล้ว นั่ง ณ ที่สมควร. ท่านเจ้าอาวาสก็ทำปฏิสันถารกับท่าน แล้วถามว่า ผู้มีอายุ คุณได้รับภัตตาหารแล้วหรือ?

    พระอรหันต์ท่านตอบว่า ได้แล้วครับ.

    เจ้าอาวาสก็ถามว่า คุณได้ที่ไหนเล่า?

    พระอรหันต์ท่านก็ตอบว่า ได้ที่เรือนกุฏุมพีใกล้ๆ วิหารนี้แหละ

    เมื่อท่านบอกอย่างนี้แล้ว ก็ถามถึงเสนาสนะ คือ ที่อยู่ของท่าน แล้วได้จัดแจงปัดกวาด เก็บบาตรจีวรไว้เรียบร้อย แล้วพักอยู่ด้วยความสุขในผลสมาบัติ

    พอเวลาเย็น กุฏุมพีก็ให้คนถือเอาพวงดอกไม้ และน้ำมันเติมประทีปไปวิหาร นมัสการพระเถระเจ้าอาวาส แล้วถามว่า พระคุณเจ้าผู้เจริญ มีพระเถระอาคันตุกะมาพักรูปหนึ่ง มิใช่หรือ?

    เจ้าอาวาสตอบว่า จ้ะ มีมาพัก.

    กฎุมพีคฤหบดีนั้นก็ถามว่า เดี๋ยวนี้ ท่านพักอยู่ที่ไหน ขอรับ?

    พระเถระเจ้าอาวาสก็ตอบว่า ที่เสนาสนะโน้น.

    กุฏุมพีนั้นไปสู่สำนักของพระอรหันต์ผู้เป็นอาคันตุกะ นั่ง ณ ที่สมควร ฟังธรรมกถาจนถึงค่ำ จึงบูชาพระเจดีย์ และต้นโพธิ์ จุดประทีปสว่างไสว แล้วนิมนต์ภิกษุทั้งสองให้รับบาตรในวันรุ่งขึ้น แล้วกลับไป

    กฎุมพีถูกหรือผิดที่มีความเลื่อมใสในผู้ที่ควรเลื่อมใส และได้นิมนต์พระเถระทั้งสองให้รับบาตรในวันรุ่งขึ้น

    แต่ว่าพระเถระผู้เป็นเจ้าอาวาสคิดว่า

    นี่คืออโยนิโสมนสิการของผู้ที่เจริญสติปัฏฐาน แต่เมื่อยังไม่สามารถดับกิเลสได้  ยังมีความติดข้องพัวพันอยู่ในลาภ ยศ สักการะ ทำให้พระเถระผู้เป็นเจ้าอาวาสคิดว่า

    กุฏุมพีนี้ถูกพระอาคันตุกะ ยุให้แตกกับเราเสียแล้ว

    ไม่มีเหตุอะไรที่ควรจะคิดอย่างนี้เลย แต่คนที่จะคิด ก็คิดได้ ตามอโยนิโสมนสิการที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ทำให้ท่านคิดว่า

    ถ้าพระอรหันต์รูปนั้น ซึ่งท่านยังไม่รู้ว่าเป็นพระอรหันต์ จักอยู่ในวิหารนี้ไซร้ ที่ไหนกุฏุมพีจะนับถือเรา

    เมื่อเกิดความไม่พอใจในพระอรหันต์แล้ว ท่านก็คิดว่า เราควรแสดงอาการไม่ให้พระรูปนั้นอยู่ในวิหารนี้ ดังนี้แล้ว ในเวลาที่พระอรหันต์อาคันตุกะมาปรนนิบัติ ท่านก็ไม่พูดด้วย

    นี่คืออาการที่เกิดจากอโยนิโสมนสิการ

    ซึ่งพระอรหันต์ท่านทราบอัธยาศัยของภิกษุผู้เป็นเจ้าอาวาส แล้วท่านก็คิดว่า พระเถระนี้ไม่รู้ถึงการที่เราไม่มีความห่วงใยในตระกูล ในลาภหรือในหมู่ แล้วท่านกลับไปที่อยู่ของตน พักอยู่ด้วยความสุขในฌาน และความสุขในผลสมาบัติ.

    เมื่อถึงวันรุ่งขึ้นที่กฎุมพีนิมนต์ทั้งพระอรหันต์และพระภิกษุเจ้าอาวาสให้ไปรับบาตร พระภิกษุท่านเจ้าอาวาสก็ตีระฆังด้วยหลังเล็บ เคาะประตูด้วยเล็บ

    นี่คือการกระทำที่สามารถกระทำได้ ใครจะคิดว่าใครจะทำได้ แต่การกระทำอย่างนี้ก็เกิดขึ้นแล้วด้วยอโยนิโสมนสิการ ซึ่งเมื่อท่านทำอย่างนั้นแล้ว ท่านก็ไปสู่เรือนของกุฏุมพีนั้นแต่เพียงรูปเดียว

    เมื่อกุฏุมพีคฤหบดีรับบาตร นิมนต์ให้นั่งเหนืออาสนะที่ปูลาดไว้ แล้วถามว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พระอาคันตุกะเถระไปไหนเสียเล่า?

    ท่านเจ้าอาวาสตอบว่า ข้าพเจ้าไม่ทราบความประพฤติของพระผู้ใกล้ชิดสนิทสนมของคุณ ฉันตีระฆัง เคาะประตู ก็ไม่อาจปลุกให้ตื่นได้ เมื่อวานฉันโภชนะอันประณีตในเรือนของคุณแล้ว คงอิ่มอยู่จนวันนี้ บัดนี้ก็ยังนอนหลับอยู่นั่นเอง

    แล้วท่านก็กล่าวเพื่อให้กุฏุมพีไม่ควรนับถือ หรือเคารพสักการะในพระอรหันต์ โดยกล่าวให้เห็นความไม่ควรขอกุฏุมพีว่า

    เมื่อท่านจะเลื่อมใส ก็เลื่อมใสในภิกษุผู้มีสภาพเห็นปานนี้ทีเดียว

    นี่คือการตำหนิกลายๆ ของผู้ที่เป็นบรรพชิต

    แต่สำหรับพระอรหันต์นั้น เมื่อท่านกำหนดเวลาภิกษาจารของท่านแล้ว ก็ชำระสรีระของตน  ทรงบาตรจีวร เหาะไปในอากาศ (แต่) ได้ไปเสียในที่อื่น.

    คือไม่อยู่ที่นั่นอีกต่อไป เพราะรู้ว่า ท่านเจ้าอาวาสเป็นผู้ตระหนี่ หวงแหน และมีอโยนิโสมนสิการ

    กุฏุมพีนั้นได้นิมนต์พระเถระเจ้าอาวาส ฉันข้าวปายาสที่ปรุงด้วยเนยใส น้ำผึ้ง น้ำตาลกรวด แล้วรมบาตรด้วยของหอม ใส่ข้าวปายาสจนเต็ม แล้วกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พระเถระนั้นเห็นจะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า พระคุณเจ้าจงนำข้าวปายาสนี้ไปให้ท่านด้วยเถิด. แล้วถวายบาตรไป.

    อโยสิโสมนสิการก็ยังไม่หมด

    พระเถระเจ้าอาวาสไม่ห้ามเสียทันที คงรับบาตรมา เดินไปแล้วก็คิดว่า ถ้าภิกษุนั้นได้ข้าวปายาสนี้ไซร้ ถึงเราจะจับคอฉุดให้ไป ก็จักไม่ไป

    นี่คือความคิดหวงแหนในตระกูลอุปัฏฐาก

    แล้วท่านก็คิดต่อไปว่า

    ก็ถ้าเราจักให้ข้าวปายาสนี้แก่มนุษย์ กรรมของเราก็จักปรากฏ.

    ใครๆก็จะรู้ว่า ท่านไม่ได้เอาไปให้พระเถระอาคันตุกะ

    หากเททิ้งลงในน้ำเล่า เนยใสก็จักปรากฏเหนือน้ำได้.

    อโยนิโสมนิการก็มีวิธีการที่แยบยลที่จะกระทำตามแบบของอโยนิโสมนสิการ เพราะฉะนั้นท่านก็คิดว่า ทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะเหตุว่าถ้าทิ้งลงในน้ำ เนยใสก็จักปรากฏเหนือน้ำได้

    ถ้าทิ้งลงบนแผ่นดิน ฝูงกาจักรุมกันกิน กรรมของเราก็จักปรากฏ. ควรทิ้งข้าวปายาสนี้ที่ไหนดีหนอ ขณะนั้นท่านเห็นนากำลังไหม้อยู่แห่งหนึ่ง ก็คุ้ยถ่านขึ้น เทข้าวปายาสลงไป กลบด้วยก้อนถ่าน แล้วจึงไปวิหาร

    ครั้นไม่เห็นภิกษุรูปนั้น จึงคิดได้ว่า ชะรอย ภิกษุนั้นจักเป็นพระอรหันต์  รู้อัธยาศัยของเราแล้ว จักไปเสียที่อื่นเป็นแน่ โอ เพราะท้องเป็นเหตุ เราทำกรรมไม่สมควรเลย

    ทันใดนั้นเองความเสียใจอย่างใหญ่หลวงก็เกิดขึ้นแก่ภิกษุนั้น. จำเดิมแต่วันนั้นไปทีเดียว ท่านก็กลายเป็นมนุษย์เปรต อยู่มาไม่นาน ก็ตายไปเกิดในนรก

    ไม่สามารถจะกินอยู่ ไม่สามารถที่จะรักษาสุขภาพร่างกายไว้ได้  ก็กลายเป็นผู้ที่ผอมจนกลายเป็นมนุษย์เปรต อยู่มาไม่นาน ก็ตายไปเกิดในนรก

    ภิกษุนั้นหมกไหม้อยู่ในนรกหลายแสนปี เศษของผลกรรมยังนำให้ไปเกิดเป็นยักษ์ถึง ๕๐๐ ชาติ เกิดเป็นสุนัข ๕๐๐ ชาติ และภายหลังต่อมาก็เกิดในภพสุดท้าย เป็นท่านพระโลสกติสสเถระ

    ผู้ที่เจริญสติปัฏฐาน ประมาทไม่ได้ ยังมีอกุศล ซึ่งยังไม่รู้ว่า ยังมีเหตุปัจจัยที่จะทำให้เกิดกาย วาจา และใจที่คิดไม่สมควรในขณะไหน วันไหน

    เพราะฉะนั้นกว่าจะถึงความเป็นพระอรหันต์ ถ้าไม่พิจารณาด้วยโยนิโสมนสิการในเหตุการณ์แต่ละวันจริงๆ ยากที่จะบรรลุอริยสัจธรรมได้  เพราะแม้แต่เหตุการณ์ธรรมดาๆ ในชีวิตประจำวัน ยังไม่สามารถเป็นผู้ตรงที่จะพิจารณาด้วยโยนิโสมนสิการได้ เพราะฉะนั้นจะสามารถพิจารณาสภาพธรรมได้ตรงตามความเป็นจริงได้อย่างไร


    หมายเลข 4335
    19 ก.ค. 2558