เรื่องของนายมาตังคะ


    เรื่องของนายมาตังคะได้เคยกล่าวถึงแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งก็เป็นพระชาติหนึ่ง ที่แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่จะอบรมเจริญปัญญาถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จะต้องเกิดขึ้นเป็นไปในแต่ละภพแต่ละชาติตามเหตุตามปัจจัยที่ได้สะสมมา

    สำหรับท่านผู้ฟังใหม่ จะขอกล่าวถึงเรื่องของนายมาตังคะอีกครั้งหนึ่งโดยย่อ

    ในสมัยนั้นที่พระนครพาราณสี มีเศรษฐีผู้หนึ่งมีทรัพย์ ๘๐ โกฏิ เศรษฐีผู้นั้น มีธิดาคนหนึ่งชื่อทิฏฐมังคลิกา สะสวย น่ารักน่าชม พร้อมด้วยรูปสมบัติ โภคสมบัติ และคุณสมบัติ แต่ไม่ว่าจะมีชายใดมาสู่ขอ นางก็เห็นว่าไม่มีใครคู่ควรเลยสักคนเดียว มีข้อตำหนิไปเสียหมด ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องชาติบ้าง หรือไม่ก็ในเรื่องทรวดทรง เรื่องมือ เรื่องเท้า เป็นต้น

    วันหนึ่งนางทิฏฐมังคลิกาตั้งใจจะลงเล่นน้ำในแม่น้ำคงคา ก็ได้สั่งให้จัดตบแต่งท่าน้ำ บรรทุกของเคี้ยวของกินเป็นอันมากเต็มเล่มเกวียน เอาของหอมและดอกไม้ เป็นต้นไปด้วย และขึ้นยานอย่างมิดชิด มีหมู่ญาติแวดล้อมออกจากปราสาทไป

    สมัยนั้น พระมหาบุรุษได้กำเนิดเป็นคนจัณฑาลมีชื่อว่ามาตังคะ อายุ ๑๖ ปี อาศัยอยู่ในกระท่อมหนังนอกพระนคร วันนั้นนายมาตังคะมีกิจที่จะเข้าไปในพระนครพาราณสี เขานุ่งผ้าเก่าสีเขียว มือข้างหนึ่งถือกระเช้า อีกข้างหนึ่งถือกระดิ่งสั่น ร้องบอกคนที่ผ่านไปมาให้รู้ว่าเขาเป็นคนจัณฑาล ด้วยความนอบน้อมเจียมตน

    ความนอบน้อมเจียมตนเป็นกุศล แต่ผู้คนในสมัยโน้นหรือแม้ในสมัยนี้ ก็ยังคงยึดถือในกำเนิด คือ ไม่ได้พิจารณาถึงกุศลจิตและอกุศลจิต แต่ถือชั้นวรรณะ

    เมื่อนางทิฏฐมังคลิกาได้ยินเสียงกระดิ่งก็ได้มองทางช่องม่าน เห็นนายมาตังคะก็รังเกียจจนตัวสั่น

    คิดดู นายมาตังคะซึ่งเป็นพระชาติหนึ่งของพระผู้มีพระภาค รูปร่างหน้าตา ทำให้คนรังเกียจจนตัวสั่น

    นางถ่มน้ำลาย และบอกให้พี่เลี้ยงเอาน้ำมาล้างตาที่เห็นนายมาตังคะ และบ้วนปากที่เอ่ยชื่อนายมาตังคะ และให้กลับรถไปปราสาท

    คือ เลิกเล่นน้ำที่แม่น้ำคงคา

    พวกที่คิดว่าจะได้ข้าวปลาอาหาร สุรา เนื้อ ของหอมจากการไปเล่นแม่น้ำ คงคาของนางทิฏฐมังคลิกาก็โกรธนายมาตังคะ ที่ทำให้ตนพลาดโอกาสที่จะได้สนุกสนานและได้ลาภอย่างนั้น คนเหล่านั้นก็ตามนายมาตังคะไปจนกระทั่งถึงที่อยู่ และทำร้ายจนกระทั่งเข้าใจว่านายมาตังคะตายแล้ว และช่วยกันจับลากไปทิ้งไว้ที่ กองขยะ

    เมื่อนายมาตังคะรู้สึกตัว ก็พิจารณาหาเหตุที่ถูกทำร้ายว่าเกิดจากอะไร ก็รู้ว่าเป็นเพราะนางทิฏฐมังคลิกานั่นเอง นายมาตังคะจึงคิดที่จะละมานะของ นางทิฏฐมังคลิกา นายมาตังคะไปนอนที่ลานบ้านของนางทิฏฐมังคลิกาด้วยตั้งใจว่า เราได้นางทิฏฐมังคลิกาจึงจะลุก เมื่อไม่ได้ก็จะตายเสียที่นี้แหละ

    ความเห็นผิดของคนในสมัยนั้นมีว่า เมื่อคนจัณฑาลโกรธ นอนตายใกล้ประตูห้องของใคร คนที่อยู่ในห้องนั้นทั้งหมดต้องเป็นจัณฑาล หรือเมื่อคนจัณฑาลตายกลางเรือน คนในเรือนนั้นทั้งหมดต้องเป็นจัณฑาล หรือเมื่อคนจัณฑาลตายที่ ประตูเรือน คนที่อยู่ในเรือนสองข้างต้องเป็นจัณฑาล หรือเมื่อคนจัณฑาลตายที่ ลานบ้าน คนที่อยู่ในเรือนทั้ง ๑๔ หลัง คือ ข้างโน้น ๗ หลัง ข้างนี้ ๗ หลัง ทั้งหมดต้องตกเป็นจัณฑาล

    คนทั้งหลายก็ได้ไปบอกเศรษฐีว่า นายมาตังคะนอนอยู่ที่ลานบ้านของเศรษฐี เศรษฐีก็บอกให้เอาทรัพย์ไปให้นายมาตังคะ ๑ มาสก เพื่อให้นายมาตังคะลุกไป แต่นายมาตังคะก็ไม่ยอมลุก เขาบอกว่าไม่ได้ต้องการเงิน ต้องการนางทิฏฐมังคลิกา คนเหล่านั้นก็ถามว่า นางทิฏฐมังคลิกามีโทษผิดอะไร นายมาตังคะก็บอกว่า นางทิฏฐมังคลิกาไม่ได้ทำอะไร แต่พวกของนางทำร้ายตน

    เมื่อคนเหล่านั้นไปบอกเศรษฐี เศรษฐีก็เพิ่มเงินให้อีก เพื่อให้นายมาตังคะกลับไป แต่นายมาตังคะก็ไม่กลับไป ยังนอนอยู่ตามเดิม

    เศรษฐีและภรรยากลัวนายมาตังคะจะตาย ก็ส่งอาหารและทรัพย์ไปให้ นายมาตังคะเพิ่มขึ้น แต่นายมาตังคะก็ไม่รับ

    ล่วงไปวันหนึ่ง ๒ วัน ๓ วัน ๔ วัน ๕ วัน พวกเพื่อนบ้านที่อยู่ติดกันก็บอกให้เศรษฐีให้นางทิฏฐมังคลิกากะนายมาตังคะไปเสีย แต่เศรษฐีและภรรยาก็ไม่ยอม ส่งเงินไปให้เพิ่มอีกเรื่อยๆ จนถึงหนึ่งแสน แต่นายมาตังคะก็ไม่ยอมรับ

    จนถึงวันที่ ๗ ชาวบ้านทั้ง ๑๔ หลังก็ประชุมกันยกนางทิฏฐมังคลิกาให้ นายมาตังคะ โดยพากันขึ้นไปบนปราสาท ถอดเครื่องประดับทุกชิ้นออก ให้นุ่งผ้าเขียวเก่าๆ ให้ประดับต่างหูดีบุก มอบกระเช้าใบตาลให้ แล้วจับแขนไปส่งให้ นายมาตังคะ

    นายมาตังคะทำมานะของนางทิฏฐมังคลิกาให้ลดลงโดยไม่ยอมลุกขึ้น จนกว่านางทิฏฐมังคลิกาจะพูดกับตนอย่างนอบน้อม ซึ่งนางทิฏฐมังคลิกาก็เรียกนายมาตังคะว่า เจ้านาย แล้วก็บอกให้ลุกขึ้น

    นายมาตังคะก็ให้นางทิฏฐมังคลิกาแบกตน พาไปยังประตูที่จะออกไปสู่บ้าน แต่ไม่บอกให้ไปทางไหน นางทิฏฐมังคลิกาเป็นผู้ที่ไม่เคยแม้แต่จะยกของที่เบาๆ อย่างก้านบัว แต่ก็เชื่อฟัง เพราะฉะนั้น ก็แบกนายมาตังคะเดินไปทางประตูด้าน ทิศตะวันออก แล้วก็ถามว่า ออกทางประตูนี้ใช่ไหม นายมาตังคะก็บอกว่า ไม่ใช่ นางทิฏฐมังคลิกาก็แบกต่อไปอีกจนถึงประตูเมืองด้านตะวันตก นายมาตังคะก็บอกว่าให้ออกไปทางประตูด้านนี้ ไปยังกระท่อมมุงหนังของตน

    พระโพธิสัตว์อยู่ในกระท่อมของตนกับนางทิฏฐมังคลิกาโดยไม่เกี่ยวข้องกับ นางทิฏฐมังคลิกาเลยตลอด ๗ – ๘ วัน ระหว่างนั้นท่านคิดว่าจะมีทางใดที่จะทำให้ นางทิฏฐมังคลิกาได้เกียรติ ได้ยศ และได้บริวาร เมื่อเห็นว่าถ้าท่านยังอยู่เป็นคฤหัสถ์ ก็ไม่มีทางที่จะทำให้นางทิฏฐมังคลิกาได้เกียรติ ได้ยศ ได้บริวารได้ เพราะฉะนั้น ก็ออกบวช เจริญฌานสมาบัติจนกระทั่งได้อภิญญา เมื่อบรรลุอภิญญาแล้ว ก็ได้กลับไปบอกนางทิฏฐมังคลิกาว่า ให้นางประกาศให้ทั่วพระนครว่า สามีของนางไม่ใช่จัณฑาล แต่เป็นท้าวมหาพรหม และให้ประกาศว่า อีก ๗ วันซึ่งจะเป็น วันอุโบสถนั้น ท้าวมหาพรหมสามีของนางจะเหาะลงมาจากวงพระจันทร์ และเมื่อ ถึงวันนั้น ก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ

    เพราะฉะนั้น เมื่อมหาชนเห็นดังนั้น ก็พากันแวดล้อมนางทิฏฐมังคลิกา เรียกนางว่า พรหมปชาบดี และปรึกษากันที่จะเชิญนางเข้าไปอยู่ในพระนคร โดยหามไปด้วยวอทอง ไม่ให้คนที่มีชาติไม่บริสุทธิ์ ๗ ชั่วคนหาม แต่ว่าให้พราหมณ์ ที่มีชาติและมนต์ ๑๖ คนหามไป คนที่เหลือบูชาด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้น เข้าไปสู่พระนคร และได้สร้างมณฑปให้นางอยู่

    ตั้งแต่นั้นมาคนทั้งหลายได้ยืนพอเห็นนาง แต่ว่าเข้าใกล้ไม่ได้ เมื่อต้องการ จะไหว้ก็ต้องให้ ๑ กหาปณะจึงไหว้ได้ ผู้ต้องการไหว้ในที่รอบๆ พอได้ยินเสียง ต้องให้ ๑๐๐ กหาปณะจึงไหว้ได้ ผู้ต้องการไหว้ในที่ใกล้ซึ่งเป็นที่ได้ยินเสียงพูดปกติ ต้องให้ ๕๐๐ กหาปณะจึงไหว้ได้ ผู้ต้องการวางศีรษะที่เท้าแล้วไหว้ต้องให้ ๑,๐๐๐ กหาปณะ จึงไหว้ได้ ผู้ที่ต้องการน้ำชำระเท้า ต้องให้ ๑๐,๐๐๐ กหาปณะจึงได้

    มีใครต้องการไหม น้ำล้างเท้า ๑๐,๐๐๐ กหาปณะ เพราะคิดว่านั่นเป็นมงคล

    แม้แต่พระราชาซึ่งจะทำพิธีราชาภิเษก ก็ยังต้องการน้ำชำระเท้าของ นางทิฏฐมังคลิกา เพราะฉะนั้น พระราชาก็ต้องให้เงินถึง ๑๐,๐๐๐ กหาปณะด้วย

    นายมาตังคะซึ่งเป็นคนจัณฑาล เป็นผู้ที่อยู่บ้านมุงหนัง ก็ได้จบชีวิตใน สังสารวัฏฏ์ด้วยการตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสมณโคดมพระองค์นี้

    เพราะฉะนั้น ทุกคนในขณะนี้ ซึ่งไม่ได้เป็นผู้ที่ยากไร้ถึงขนาดนายมาตังคะ ก็น่าที่จะมีโอกาสได้อบรมเจริญปัญญา แม้ว่าจะไม่มาก แต่ก็อบรมเจริญปัญญาไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมในชาติหนึ่ง

    ถ้าจะดูตัวอย่างบุคคลในครั้งก่อนการตรัสรู้ จนถึงสมัยที่พระผู้มีพระภาคตรัสรู้ จะเห็นได้ว่า ท่านเหล่านั้นก็ล้วนแต่เป็นผู้ที่มีกิเลส แต่ก็มีปัญญาที่สะสมมาด้วย และเมื่อถึงโอกาสที่ปัญญาสมบูรณ์ถึงขั้นรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ก็ย่อมสามารถรู้แจ้ง อริยสัจจธรรมได้ เพราะฉะนั้น ถ้าทุกคนจะคิดถึงประโยชน์ของการเกิดมามีชีวิต เป็นมนุษย์ในขณะนี้ ทุกคนย่อมมีทางเดินของชีวิตซึ่งจะมี ๒ ทาง คือ ทางหนึ่งเลือก ที่จะหมุนเข้าให้จมลึกอยู่ในปลักของสังสารวัฏฏ์ต่อไป หรืออีกทางหนึ่ง คือ เลือกที่จะหมุนออกจากเกลียวของสังสารวัฏฏ์ไปทีละเล็กทีละน้อย

    ธรรมต้องพิจารณาทุกเรื่อง ไม่ว่าจะในเรื่องของโลภะ หรือโทสะ หรือโมหะ โดยพิจารณาตนเองว่า การที่ยังมีความยึดมั่นผูกพันในบุคคล ควรที่จะ คลายเกลียวออก หรือหมุนเกลียวเข้าไปอีก เพราะว่าในภพหนึ่งชาติหนึ่งทุกคนต้อง มีความผูกพัน มีความยึดมั่นในบุคคลต่างๆ โดยฐานะต่างๆ ซึ่งควรจะได้พิจารณาว่า จะละคลาย หรือจะยึดมั่นให้มากขึ้น

    แม้ในเรื่องของโทสะ ความโกรธ ก็เช่นเดียวกัน ถ้าท่านผู้ใดยังคงมีความโกรธในบุคคลใด ขณะนั้นเป็นอกุศล จะคลายเกลียวออก คือ ละคลายความโกรธและ ให้อภัย หรือจะหมุนเกลียวของโทสะให้เพิ่มขึ้น มากขึ้นไปอีก

    วันหนึ่งๆ ถ้าจะหาเรื่องที่จะโกรธ ไม่ยากเลย เช่นเดียวกับการที่จะหาวัตถุ ซึ่งเป็นที่พอใจก็ไม่ยาก ได้ยินอะไรนิดอะไรหน่อยก็โกรธได้ แต่ถ้าพิจารณาหาเหตุผลว่า ผู้นั้นอาจพูดไปด้วยความไม่รู้ ด้วยการฟังที่ผิวเผิน หรือด้วยความเข้าใจผิด ขณะนั้นจิตใจก็จะสบาย ไม่เดือดร้อน หมดเรื่อง จบเรื่องทุกอย่าง

    เพราะฉะนั้น ทุกๆ ขณะในชีวิต เป็นขณะที่ควรจะได้พิจารณาถึงประโยชน์ ด้วยความเป็นผู้ตรงที่จะรู้ว่า กุศลทั้งหลายย่อมเป็นประโยชน์กว่าอกุศล ซึ่งการเป็น ผู้ตรงนั้น ก็เป็นลักษณะของตัตรมัชฌัตตตาเจตสิก


    หมายเลข 4475
    19 ก.ย. 2566