อรรถกถา...กปิลสูตรที่ ๖


    สำหรับเรื่องที่ควรคิดถึงปฏิสนธิจิตที่จะเกิดต่อจากจุติจิตในชาตินี้ ขอกล่าวถึงเรื่องกรรมที่บางท่านประมาทแล้วในครั้งพระผู้มีพระภาคพระองค์ก่อนๆ

    ข้อความในอรรถกถา ขุททกนิกาย สุตตนิบาต อรรถกถากปิลสูตรที่ ๖ มีข้อความว่า

    เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากัสสปะเสด็จปรินิพพานแล้ว กุลบุตร ๒ พี่น้องออกบวชในสำนักแห่งสาวกทั้งหลาย ผู้พี่ชื่อว่าโสธนะ ผู้น้องชื่อว่ากปิละ ท่านทั้งสองมีมารดาชื่อว่าสาธนี มีน้องสาวชื่อว่าตาปนา ทั้งมารดาและน้องสาวนั้นบวชในสำนักนางภิกษุณี

    เห็นได้นะคะว่า บวชหมดทั้งครอบครัว ทั้งมารดา น้องสาว และบุตรชายทั้ง ๒ ก็ต้องเป็นผู้มีศรัทธามากทีเดียว แต่ควรจะไม่ประมาทในเรื่องของอกุศล

    ในบรรดาพระภิกษุทั้งสองนั้น พระผู้พี่คิดว่า เราจะบำเพ็ญวาสธุระ คือ ธุระเป็นเครื่องอบรมตน คือ วิปัสสนาภาวนา ดังนี้แล้ว ก็อยู่ในสำนักของอุปัชฌาย์และอาจารย์ทั้งหลายเป็นเวลา ๕ ปี ไปสู่ป่าและได้บรรลุพระอรหัต

    พระกปิละคิดว่า เรายังหนุ่มอยู่ก่อน ในเวลาแก่แล้วเราจะบำเพ็ญแม้วาสธุระดังนี้ แล้วก็เริ่มคันถธุระ ได้เป็นผู้ทรงพระไตรปิฎกแล้ว พระกปิละนั้นมีบริวาร เพราะอาศัยปริยัติ เพราะอาศัยบริวาร ลาภก็เกิดขึ้น พระกปิละนั้นเมาด้วยการเมาในการที่ตนเป็นพาหุสัจจะ สำคัญตนว่าเป็นบัณฑิต มีความสำคัญว่าตนรู้ แม้ในสิ่งที่ตนยังไม่รู้ กล่าวสิ่งที่เป็นกัปปิยะที่ภิกษุเหล่าอื่นกล่าวแล้วว่าเป็นอกัปปิยะ คือเป็นสิ่งที่ไม่สมควร กล่าวสิ่งที่สมควรว่าไม่สมควร แม้สิ่งที่เป็นอกัปปิยะเป็นกัปปิยะ แม้สิ่งที่มีโทษว่าไม่มีโทษ แม้สิ่งที่ไม่มีโทษว่ามีโทษ

    ศึกษามาก แต่ถ้าเมาด้วยลาภสักการะ เพราะเหตุใดจึงกล่าวผิดจากที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้น่าคิดมากทีเดียว

    ต่อแต่นั้น พระกปิละนั้นอันภิกษุทั้งหลายผู้มีศีลเป็นที่รักโอวาทอยู่ โดยนัยว่า คุณกปิละ ท่านอย่าได้พูดอย่างนี้ ดังนี้เป็นต้น ก็เที่ยวขู่ตะคอกภิกษุทั้งหลายด้วยคำทั้งหลายว่า พวกท่านเหมือนกับคนมีกำมือเปล่า จะรู้อะไร ดังนี้เป็นต้นอยู่นั้นแล

    ภิกษุทั้งหลายได้บอกเรื่องนี้ แม้แก่พระโสธนเถระผู้เป็นพี่ชายของท่าน แม้พระโสธนเถระนั้นก็ได้เข้าไปหาพระกปิละนั้นแล้วได้กล่าวว่า  อย่าได้พูดแม้สิ่งที่เป็นกัปปิยะ ฯลฯ สิ่งที่มีโทษว่าไม่มีโทษ. พระกปิละนั้นก็ไม่สนใจคำของพระโสธนเถระผู้เป็นพี่ชาย

    ลำดับนั้น พระโสธนเถระได้กล่าวกะพระกปิละว่า

    ผู้อนุเคราะห์จะพึงพูดคำหนึ่งหรือ ๒ คำ ไม่พึงพูดให้มากไปกว่านั้น (เพราะว่าถ้าท่านผู้อนุเคราะห์จะพึงกล่าวให้มากไปกว่านั้น) ก็จะพึงมีโทษในสำนักของพระอริยะได้

    แม้แต่การที่จะเตือน หรือการที่จะกล่าว ถ้าพูดมากกว่าที่ควรจะพูด ก็อาจจะทำให้ผู้ฟังเข้าใจผิดได้ คือ ไม่ได้เข้าใจเจตนาจริงๆของผู้พูด เพราะเหตุว่าในขณะที่กำลังเป็นอกุศล ก็ย่อมไม่เห็นว่า สิ่งใดถูกและสิ่งใดผิด สิ่งใดควรและสิ่งใดไม่ควร เพราะฉะนั้นท่านที่รู้สภาพธรรมแล้ว ท่านจึงกล่าวว่า

    ผู้อนุเคราะห์จะพึงพูดคำหนึ่งหรือ ๒ คำ ไม่พึงพูดให้มากไปกว่านั้น

    นี่ก็เป็นเรื่องความละเอียดของจิต ซึ่งจะต้องระวังว่า สำหรับผู้ฟัง ถ้าฟังแล้วก็เกิดอกุศลไปใหญ่โต เพราะฉะนั้นผู้พูดก็ยุติเสีย เพื่อจะไม่ให้ผู้ฟังเกิดอกุศลมากไปอีก

    ท่านพระโสธนะกล่าวว่า อาวุโส ท่านพระนั้นเองจะปรากฏด้วยกรรมของตนเอง ดังนี้แล้วก็หลีกไป.

    จำเดิมแต่นั้นมา ภิกษุทั้งหลายที่มีศีลเป็นที่รักก็ทอดทิ้งพระกปิละนั้นเสีย.

    พระกปิละนั้นเป็นผู้ประพฤติชั่ว มีภิกษุประพฤติชั่วแวดล้อมอยู่ วันหนึ่งคิดว่า เราจะลงอุโบสถ แล้วก็ขึ้นสู่อาสนะอันประเสริฐ จับพัดอันวิจิตร พอนั่งลงก็พูดขึ้น ๓ ครั้งว่า อาวุโสทั้งหลาย ปาติโมกข์ย่อมควรแก่ภิกษุทั้งหลายในที่นี้หรือ.

    ครั้งนั้น แม้ภิกษุรูปหนึ่งก็ไม่ได้พูดว่า ปาติโมกข์ย่อมควรแก่ข้าพเจ้า ทั้งก็ไม่ได้พูดว่าปาติโมกข์ย่อมควรแก่พระกปิละนั้น หรือแก่ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น.

    ลำดับนั้น พระกปิละนั้นก็พูดว่า เมื่อปาติโมกข์พวกเราฟังก็ดี ไม่ฟังก็ดี ชื่อว่าวินัยไม่มีหรอก ดังนี้ แล้วก็ลุกขึ้นจากอาสนะ.

    พระกปิละนั้นทำพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปะให้เสื่อมถอย คือ ให้พินาศแล้วด้วยประการฉะนี้.

    ในกาลต่อมา ท่านพระโสธนเถระก็ปรินิพพานในวันนั้นนั่นเอง. พระกปิละแม้นั้นก็มรณะแล้วก็บังเกิดในอเวจีมหานรก มารดาและน้องสาวของท่านที่มีความเห็นตามท่าน และด่าบริภาษภิกษุทั้งหลายที่มีศีลเป็นที่รัก เมื่อสิ้นชีวิตแล้วก็เกิดในนรก.

    ซึ่งในสมัยเดียวกัน ในขณะนั้นก็มีเรื่องของบุคคลอื่นที่ได้กระทำกรรมต่างๆกันด้วย ซึ่งข้อความในอรรถกถากปิลสูตรมีว่า

    ก็ในกาลนั้น บุรุษประมาณ ๕๐๐ คนทำบาปกรรมทั้งหลาย

    เห็นได้ว่า กรรมของแต่ละชีวิต แต่ละชาติ แต่ละคนก็ต่างกันไป สำหรับบุรุษประมาณ ๕๐๐ คนทำบาปกรรมทั้งหลาย มีการฆ่าชาวบ้านเป็นต้น เลี้ยงชีวิตด้วยความเป็นโจร ถูกมนุษย์ชาวชนบทติดตาม หนีไปอยู่ ได้เข้าไปสู่ป่า ไม่เห็นที่กำบังหรือที่นั่งอะไรในป่านั้น ได้เห็นภิกษุผู้อยู่ป่าเป็นวัตรรูปหนึ่งซึ่งอยู่ในที่ไม่ไกล ไหว้แล้วก็กล่าวว่า ท่านขอรับ ขอท่านจงเป็นที่พึ่งของพวกกระผม.

    พระเถระกล่าวว่า ที่พึ่งเช่นกับศีลสำหรับท่านทั้งหลายไม่มี ขอให้ท่านทุกคนจงสมาทานเบญจศีล. โจรเหล่านั้นรับคำแล้วก็สมาทานศีล.

    พระเถระกล่าวว่า บัดนี้ พวกท่านเป็นผู้มีศีลแล้ว เมื่อท่านทั้งหลายแม้ถูกปลงชีวิตของตนให้พินาศอยู่ ท่านทั้งหลายอย่าได้ประทุษร้ายใจ คือ อย่าโกรธ

    คือไม่ทำร้ายใจของตนเอง ด้วยการไม่โกรธ

    ซึ่งพวกโจรเหล่านั้นรับคำแล้ว

    เวลาที่รับศีล ควรจะไม่โกรธ ดีไหมคะ

    ครั้งนั้น ชาวชนบทเหล่านั้นมาถึงแล้วก็มองหาอยู่ข้างโน้นบ้าง ข้างนี้บ้าง ก็ได้พบโจรเหล่านั้น แล้วพากันปลงชีวิตเสียสิ้นทุกคน โจรเหล่านั้นกระทำกาละแล้ว คือสิ้นชีวิตแล้ว ก็บังเกิดในสวรรค์

    ถ้าใครสามารถทำอย่างโจรได้ คือว่า กำลังถูกฆ่าอยู่ ก็ไม่โกรธ ขณะนั้นผลของกุศลจิตที่เกิดก่อนจุติเป็นชนกกรรม ทำให้กุศลวิบากจิตปฏิสนธิในสวรรค์

    เพราะฉะนั้นแทนที่จะไปคิดถึงว่า ถ้าโจรมาฆ่าก็จะไม่โกรธ ไม่ต้องเป็นโจรก็ได้ ใครก็ได้ ไม่ต้องฆ่าก็ได้ ทำอะไรก็ได้ แล้วก็ไม่โกรธ ขณะนั้นถ้าจุติจิตเกิด แล้วกุศลจิตซึ่งเกิดก่อนจุติจิต เป็นชวนะสุดท้าย จะเป็นชนกกรรมที่จะทำให้ปฏิสนธิในสุคติภูมิได้ แต่ต้องไม่โกรธจริงๆ เพราะเห็นประโยชน์ของความไม่โกรธ และเห็นโทษของความโกรธ เป็นไปได้ถ้าจะไม่โกรธเสียเดี๋ยวนี้ และก็ต่อๆไป เพราะเหตุว่าจะปฏิสนธิจิตเมื่อไรไม่ทราบ ปฏิสนธิสำหรับชาติหน้าจะเกิดขึ้นเมื่อไรไม่ทราบ ถ้ากระทำอยู่เสมอจนกระทั่งเป็นอาจิณณกรรม ก็จะทำให้หวังได้ว่า  กรรมนั้นก็จะทำให้เกิดในสวรรค์ได้

    บรรดาโจรเหล่านั้น โจรผู้เป็นหัวหน้าได้เป็นเทพบุตรผู้เป็นหัวหน้า โจรนอกนี้ได้เป็นบริวารของเทพบุตรผู้เป็นหัวหน้านั่นเอง ท่านเหล่านั้นท่องเที่ยวกลับไปกลับมาอยู่ ให้พุทธันดรหนึ่งสิ้นไปในเทวโลก แล้วเคลื่อนจากเทวโลกในกาลแห่งพระพุทธเจ้าของเราทั้งหลาย

    คือในสมัยของพระพุทธเจ้าพระสมณโคดมพระองค์นี้

    เทพบุตรผู้เป็นหัวหน้าได้ถือปฏิสนธิในท้องแห่งภรรยาของชาวประมงผู้เป็นหัวหน้าสกุล ๕๐๐ สกุล ในบ้านชาวประมงซึ่งมีอยู่ที่ประตูเมืองสาวัตถี เทพบุตรพวกนี้ได้ถือปฏิสนธิในครรภ์ของภรรยาของชาวประมงที่เหลือทั้งหลาย เขาเหล่านั้นได้ถือปฏิสนธิและออกจากครรภ์ในวันเดียวกันนั้นเองด้วยประการฉะนี้

    นี่อีกภพหนึ่งชาติหนึ่ง จากหลายๆชาติ จากสมัยของพระผู้มีพระภาคพระกัสสปะซึ่งเป็นโจร จนกระทั่งถึงได้ไปเกิดบนสวรรค์ และในที่สุดก็ได้เกิดในสกุลของชาวประมง

    ครั้งนั้น แม้ภิกษุชื่อว่ากปิละก็มาเกิดเป็นปลาสีเหมือนทอง แต่ปากเหม็นในแม่น้ำอจิรวดีด้วยเศษกรรมที่เหลือจากการเกิดในนรก.

    เป็นพระภิกษุชาติหนึ่งชาติใด แล้วก็เกิดในนรก แล้วก็เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน แล้วก็มีรูปร่างที่วิจิตรมาก คือ เป็นปลาสีเหมือนทอง แต่ปากเหม็น

    ต่อมาวันหนึ่ง เด็กชาวประมงเหล่านั้นทั้งหมดถือเอาแหไปจับปลา แล้วจับได้ปลาทองตัวนั้น

    สหายทั้ง ๕๐๐ คนนั้นได้นำปลานั้นพระเจ้าปเสนทิโกศลทอดพระเนตร  เมื่อพระเจ้าปเสนทิโกศลทอดพระเนตรเห็นปลาสีทอง ก็ทรงดำริว่า  พระผู้มีพระภาคเจ้าจักทรงทราบเหตุที่ปลานี้มีสีทอง ดังนี้ ก็รับสั่งให้ถือปลานั้นไปยังสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า ในเวลาที่ปลาอ้าปากขึ้น พระเชตะวันก็มีกลิ่นเหม็นอย่างยิ่ง

    ใครจะรู้ไหมคะ อกุศลวิบากจะเกิดขณะไหน สำหรับผู้ที่อยู่ ณ พระวิหารเชตวันในขณะนั้น

    พระราชาทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะเหตุไร ปลาจึงเกิดเป็นปลามีสีทอง และเพราะเหตุไร กลิ่นเหม็นจึงฟุ้งออกจากปากของปลานั้น.

    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า มหาบพิตร ปลานี้เป็นภิกษุพหูสูต ผู้เรียนจบปริยัติ ชื่อว่ากปิละ ในพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากัสสปะ เป็นผู้ด่าบริภาษภิกษุทั้งหลายซึ่งไม่เชื่อถ้อยคำของตน เป็นผู้ทำศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าให้เสื่อมไป เพราะกรรมที่เธอทำพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นให้เสื่อมไป เธอจึงบังเกิดในอเวจีมหานรก และก็มาเกิดเป็นปลาในบัดนี้ด้วยเศษแห่งวิบาก ด้วยผลอันไหลออกแห่งกรรมที่เธอได้กล่าวพุทธพจน์ สรรเสริญพระพุทธคุณเป็นเวลานาน เธอจึงได้วรรณะเช่นนี้ เพราะเหตุที่เธอได้ด่าบริภาษภิกษุทั้งหลาย กลิ่นเหม็นจึงฟุ้งออกจากปากของปลานั้น.

    นี่คือผลของกรรมที่วิจิตร แต่ว่าเห็นได้ว่า ถ้ายังเป็นผู้ประมาทในเรื่องของกรรมแม้เล็กๆน้อยๆ ถ้ากรรมนั้นให้ผล ไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่า แม้เป็นภิกษุพหุสูต แล้วมีบริวารมีลาภสักการะ ก็ยังเกิดในนรก และเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน

    มีข้อสงสัยไหมคะในเรื่องนี้


    หมายเลข 4817
    19 ก.ค. 2558