อนันตรูปนิสสยปัจจัยคือสภาพธรรมในขณะนี้นั่นเอง
ย้อนกลับมาถึงขณะนี้ ดูเหมือนว่าเป็นสิ่งธรรมดาเหลือเกินที่ทุกท่านเห็น แต่ลองคิดจริง ๆ ว่า
ถ้าปัญจทวาราวัชชนจิตไม่เกิด จักขุวิญญาณเกิดไม่ได้
และถ้าภวังคุปัจเฉทจิตไม่เกิด ปัญจทวาราวัชชนจิตก็เกิดไม่ได้ ในขณะที่กำลังเห็นในขณะนี้เอง ภวังคุปัจเฉทจิตต้องเกิดขึ้นแล้วดับไป ปัญจทวาราวัชชนจิตจึงเกิดได้
ปัญจทวาราวัชชนจิตต้องแล้วดับไป จักขุวิญญาณจึงเกิดเห็นในขณะนี้ได้
จักขุวิญญาณต้องแล้วดับไป สัมปฏิจฉนจิตจึงเกิดรับอารมณ์ รู้อารมณ์ต่อจากจักขุวิญญาณได้
สัมปฏิจฉนจิตต้องดับไป สันตีรณจิตจึงเกิดขึ้นพิจารณารู้อารมณ์ที่กำลังปรากฏได้
สันตีรณจิตต้องดับไป โวฏฐัพพนจิตจึงเกิดขึ้นตัดสินอารมณ์ที่เป็นกุศลจิต หรืออกุศลจิตที่จะเกิดต่อ
โวฏฐัพพนจิตต้องดับไป ชวนจิตดวงที่ ๑ แล้วแต่จะเป็นกุศลหรืออกุศล ต้องดับไป ชวนจิตดวงที่ ๒ จึงเกิดขึ้นได้ ตลอดไปจนถึงชวนจิตดวงที่ ๗ และตทาลัมพนจิต และภวังคจิตตามลำดับ
เป็นอย่างนี้ในขณะนี้อย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่มีใครสามารถที่จะยับยั้ง หรือหยุดยั้ง หรือเปลี่ยนแปลงสภาพที่เป็นอนันตรูปนิสสยปัจจัยได้เลย
แต่ดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาจริง ๆ แต่ขอให้ทราบว่า แม้อนันตรปัจจัย คือ จิตและเจตสิกซึ่งเกิดก่อนแล้วดับไปนั่นเอง เป็นสภาพธรรมที่เป็นที่อาศัยที่มีกำลังของจิตดวงต่อไป
ทุกท่านมีกุศลจิตในวันหนึ่ง แล้วก็มีอกุศลมากในวันหนึ่ง แต่ลืมพิจารณาว่า ถ้าจิตดวงก่อน ๆ ไม่เกิด กุศลจิตและอกุศลจิตในขณะนี้ก็เกิดไม่ได้
เพราะฉะนั้นนี่ก็เป็นเรื่องของการที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมว่า สภาพธรรมใดเป็นอุปนิสสยปัจจัย นอกจากอารมณ์เป็นอุปนิสสยปัจจัย คือ เป็นอารัมมณูปนิสสยปัจจัยแล้ว อนันตรปัจจัย สภาพธรรมของจิตและเจตสิกซึ่งเกิดแล้วดับไปก็เป็นอุปนิสสยปัจจัย คือเป็นอนันตรูปนิสสยปัจจัยนั่นเอง