อนันตรปัจจัย - อนันตรูปนิสสยปัจจัย


    ไม่ทราบว่าท่านผู้ฟังมีข้อสงสัยอะไรหรือเปล่าคะ  ในเรื่องนี้

    ทรงเกียรติ   ฟังดูแล้ว  คล้าย ๆ กับ   ทั้ง ๒ ปัจจัยก็เหมือนกัน   ในเมื่อปฏิสนธิจิตดับไปแล้ว  อนันตรปัจจัยเป็นปัจจัยทำให้ภวังคจิตเกิดขึ้น   กับปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นดับไปแล้ว   อนันตรูปนิสสยปัจจัยก็ทำให้ภวังคจิตเกิดขึ้น  ๒ ปัจจัยนี้  ก็ทำกิจเหมือน ๆ กัน   ทำไมจะต้องแยกเป็น ๒ ปัจจัยด้วย

    ท่านอาจารย์ ไม่ต่างกันเลยสำหรับอนันตรปัจจัยและอนันตรูปนิสสยปัจจัย   แต่ความหมายหรืออรรถ  หรือลักษณะที่เป็นปัจจัยต่างกันที่ว่า  ถ้ากล่าวถึงอนันตรปัจจัยเท่านั้น   หมายความว่า  สภาพธรรมซึ่งเป็นนามธรรม  คือ จิตและเจตสิกที่เกิด แล้วดับไป   ทำให้จิตและเจตสิกดวงต่อไปเกิดต่อ   นี่คือความหมายของอนันตรปัจจัย   แต่ถ้ากล่าวโดยสภาพซึ่งเป็นที่อาศัยซึ่งมีกำลัง  อนันตรปัจจัยนั่นเองเป็นสภาพธรรมซึ่งเป็นที่อาศัยที่มีกำลัง  ที่ทำให้จิตดวงต่อไปเกิดขึ้น

    ๒ ความหมายใช่ไหมคะ   โดยลักษณะของอนันตรปัจจัย   หมายความถึงการเกิด – ดับ  สืบต่อโดยไม่มีระหว่างคั่น   เป็นสภาพธรรมดาของการเกิด – ดับสืบต่อ  โดยไม่มีระหว่างคั่น  นั่นคือลักษณะของอนันตรปัจจัย

    แต่ถ้าเป็นอุปนิสสยปัจจัย  สภาพซึ่งเป็นที่อาศัยที่มีกำลัง  ถ้าไม่พิจารณาชีวิตของแต่ละคนจริง ๆ   จะไม่เห็นสภาพที่เป็นที่อาศัยที่มีกำลังของอนันตรปัจจัยว่า   เป็นอนันตรูปนิสสยปัจจัย

    ถ้าปฏิสนธิจิตเป็นอกุศลวิบากทำให้เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน   แล้วแต่จะเป็นสัตว์ประเภทหนึ่งประเภทใด   ปฏิสนธิจิตดับไปแล้ว  จะเปลี่ยนให้ภวังค์ของมนุษย์มาเกิดต่อจากปฏิสนธิจิต   ซึ่งเป็นอกุศลวิบากไม่ได้   

    เพราะฉะนั้นจึงเห็นสภาพอันเป็นที่อาศัยซึ่งมีกำลังของปฏิสนธิจิตว่า   เพราะปฏิสนธิจิตซึ่งเกิดและดับไปนั้นเองเป็นที่อาศัยซึ่งมีกำลัง   ซึ่งทำให้ภวังคจิตประเภทนั้นเกิดขึ้นโดยไม่มีระหว่างคั่น   ไม่ว่ากระแสของจิตจะเกิดดับสืบต่อกันอย่างไร   ซึ่งท่านผู้ฟังจะพิจารณาย้อนไปถึงตั้งแต่ปฏิสนธิจิตได้ว่า   ทำไมชีวิตของแต่ละคนจึงต่างกันมาก   ก็เป็นเพราะอนันตรูปนิสสยปัจจัยซึ่งเป็นที่อาศัยที่มีกำลัง  คือ ตั้งแต่ปฏิสนธิจิตเป็นที่อาศัยที่มีกำลังที่จะทำให้วิถีจิตแต่ละวิถีเกิดขึ้นเป็นไปในวันหนึ่ง ๆ   ในเดือนหนึ่ง ๆ   ใน ปีหนึ่ง ๆ   จนกระทั่งถึงในชาติหนึ่ง ๆ   ซึ่งแต่ละคนจะไม่เข้าใจเลยว่า  ทำไมสิ่งนี้จึงเกิดกับท่านในวันนั้น   หรือในเดือนนั้น   หรือในปีนั้น   ถ้าไม่มีปัจจัยซึ่งเป็นสภาพธรรมที่เป็นที่อาศัยที่มีกำลัง   เริ่มตั้งแต่ปฏิสนธิขณะ   วิถีจิตต่างๆที่เกิดขึ้นในแต่ละวันก็เกิดไม่ได้

    ในขณะนี้แม้ว่าทุกท่านจะอยู่ที่นี่   เห็นเหมือนกันหรือเปล่า ?   อยู่รวมกันในห้องนี้ก็จริง   แต่สิ่งซึ่งปรากฏในห้องนี้ ซึ่งท่านกำลังเห็นอาจจะต่างกันก็ได้   บางคนอาจจะมองไปทางซ้าย   บางคนอาจจะดูทางขวา   บางคนอาจจะหันหลังไป   

    เพราะฉะนั้นแม้แต่ในขณะนี้เอง  อนันตรูปนิสสยปัจจัยก็ทำให้แต่ละบุคคลมีวิถีจิตแต่ละทาง   แล้วแต่ว่าจะเป็นสภาพธรรมใดกำลังปรากฏ   หรือบางท่านอาจจะกำลังคิดนึก   บางท่านก็อาจจะฟังแล้วพิจารณาธรรม  บางท่านสติปัฏฐานกำลังเกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ   ถ้าปฏิสนธิจิตไม่มีอะไรที่ต่างกันเลย   ทุกท่านจะไม่ต่างกัน   แต่สำหรับผู้ที่สะสมอุปนิสัยที่เป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐาน  แม้ในขณะนี้เองสติปัฏฐานก็ยังสามารถที่จะเกิดได้   

    นี่แสดงถึงสภาพที่เป็นอนันตรูปนิสสยปัจจัย   ที่อาศัยที่มีกำลัง   ซึ่งทำให้จิตและเจตสิกเกิดขึ้น  ตามวิถีต่างๆ   ทางตา  ทางหู  ทางจมูก  ทางลิ้น  ทางกาย  ทางใจ


    หมายเลข 4940
    28 ส.ค. 2558