ระลึกได้ตามปกติ ไม่ใช่มีความต้องการที่จะจดจ้อง


    ท่านผู้ฟังท่านหนึ่ง ก็บอกว่าหลงลืมสติบ่อย ก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ว่าเวลาที่จะระลึกรู้ลักษณะของนามรูป นี่คะ ก็มีสักกายทิฏฐิ ความยึดถือนามรูปว่าเป็นตัวตน ซึ่งยังมีอยู่ คอยชักนำ ทำให้จดจ้องบ้าง หรือว่าทำให้มีความต้องการเหลือเกินที่จะให้สติเกิด ในขณะนั้น อย่างมากๆ ไม่ให้ไปที่ไหนเลย ไม่ให้เป็นปกติเลย บางท่านก็ถึงกับไม่อยากจะให้ใครพูดด้วยเลย เคยเป็นไหมคะ อย่างนี้ อยากแต่จะให้สติ ระลึกรู้ ลักษณะของนามและรูป ซึ่งกำลังปรากฏ อยู่ในขณะนั้น ไม่อยากจะพูดไม่อยากจะคุย ไม่อยากจะให้ใครพูดด้วย และก็ไม่อยากจะตอบใครเลยด้วย แต่นั่นไม่ใช่ชีวิตจริงๆ นั่นไม่ใช่ชีวิตที่เป็นปกติธรรมดา ถ้าเป็นปกติธรรมดาแล้วละก็ กายมี ระลึกได้เป็นปกติ เวทนา ความรู้สึก จะพอใจ หรือไม่พอใจ จะเป็นสุข หรือว่าจะเป็นทุกข์ หรือจะรู้สึกเฉยๆ ในขณะนั้น มี สติก็ระลึกได้ จิตในขณะนั้น จะเป็น โลภะ หรือว่าจะเป็น โทสะ มีจริง ก็ระลึกได้
    แต่โดยมากก็มักจะต้องการ ที่จะจดจ้องไม่ให้มีใครพูดด้วย หรือว่าไม่อยากจะพูดกับใคร ซึ่งความจริง แล้ว ก็เป็นสิ่งซึ่ง หลีกเลี่ยงไม่ได้ จริงอยู่ ผู้ที่เจริญสติปัฏฐาน ก็ละการคลุกคลี บ่อยขึ้น ไม่ค่อยสนใจในเรื่องการที่จะไปคลุกคลีในเรื่องอื่น แล้วก็ฝักใฝ่ในการที่จะระลึกรู้ลักษณะของนามและรูป มากขึ้น แต่ต้องเป็นชีวิตที่เป็นปกติธรรมดา ไม่ใช่ว่ามีความจงใจ หรือว่ามีความต้องการแอบแฝง ท่านผู้นั้นก็กล่าวว่า บางท่าน ก็รู้สึกว่า ชีวิตเป็นทุกข์มาก รู้สึกว่าอยากจะพ้นๆ ไปเสียทีหนึ่ง ชีวิตนี่ เกิดมาแล้วก็แก่ แล้วก็เจ็บ แล้วก็ตาย แล้วก็ประสบกับสิ่งที่ไม่พอใจบ้าง หรือว่าพลัดพรากจากสิ่งที่พอใจบ้าง เพียงแต่คิดถึงความจริงเล็กๆ น้อยๆ อย่างนี้ ก็ทำให้รู้สึกว่า น่าเบื่อเหลือเกิน ควรที่จะได้พ้นไปจาก ชีวิตนี้เสียทีหนึ่ง หรือว่าพ้นไปจากชาติ การเกิด แล้วก็แก่ แล้วเจ็บ แล้วก็ตายเสียทีหนึ่ง ด้วยความรีบร้อน ที่จะพ้น แต่ไม่ได้ระลึกลักษณะของจิต ซึ่งอาจจะเป็นโลภะ อาจจะเป็นโทสะ อาจจะเป็นโมหะ เป็นประจำ มีแต่ความอยากจะหนีไป อยากจะพ้นไป
    แต่จะพ้นได้อย่างไรคะ ด้วยความไม่รู้ โทสมูลจิตที่ไม่แช่มชื่น ที่อยากจะได้ ที่ขัดเคืองเกิดแล้วก็มีเชื้อที่จะให้เกิดอีก ไม่ใช่ว่าเพียงแต่การต้องการที่จะพ้นจากภพชาติแล้ว แล้วก็จะทำให้ไปแช่มชื่น จดจ้อง พยายามที่จะให้สติระลึกรู้เฉพาะบางนาม บางรูปโดยเข้าใจว่า วิธีนั้น เป็นหนทางที่จะทำให้ไม่ต้องเกิดอีก แต่ว่าจิตในขณะนั้นเป็นอะไร ไม่เคยระลึกเลย เป็นสภาพของสราคจิต จิตที่เป็น โลภมูลจิต หรือว่าโทสมูลจิต หรือว่าเป็นโมหมูลจิต อยากจะพ้นไปจากจิต แต่พ้นไม่ได้ เพราะเหตุว่า จิตมีปัจจัยให้ เมื่อดับไปแล้วก็เกิดอีก จิตที่ดับไปแล้วเมื่อกี้นี้ ก็มีปัจจัยทำให้จิตในขณะนี้เกิดอีก แล้วก็จิตที่ดับไปในขณะนี้ เก็มีปัจจัยให้จิตดวงต่อไป เกิดอีกเรื่อยๆ เป็นโลภะบ้าง เป็นโทสะบ้าง เป็นโมหมูลจิตบ้าง โดยที่ถ้าผู้ใดยังไม่ระลึกรู้ ลักษณะของจิต อย่าหวังที่จะรู้แจ้ง อริยสัจธรรม เว้นไม่ได้ นะคะ


    หมายเลข 6787
    29 ส.ค. 2565