โรคกำเริบ


    ข้อสำคัญที่สุดก็คือว่า ถ้าจิตสะอาดขึ้น ไม่ว่าจะได้ยินได้ฟังอะไรก็ไม่เป็นอกุศล หรืออกุศลนั้นไม่กำเริบ โรคกำเริบเป็นอย่างไรคะ ใช้คำว่า “กำเริบ” แต่กำเริบคืออะไร ทำความเสียหาย เมื่อไรก็ตามถ้าโรคกำเริบเป็นอย่างไรคะ ทำความกำเริบให้แก่ร่างกาย ให้แก่ความรู้สึก ทุกสิ่งทุกอย่าง โลภะ กำเริบ โลภะธรรมดา สมโลภะ กับโลภะกำเริบ ก็ต้องต่างกัน

    เพราะฉะนั้น แม้แต่แต่ละคำในพระไตรปิฎก เราพูดคำที่ไม่เคยเข้าใจจริงๆ เราใช้คำที่เข้าใจไม่ชัดเจน จนกว่าจะได้ฟังคำอธิบาย หรือความหมายของแต่ละคำด้วย

    เพราะฉะนั้น เมื่อกี้นี้เท่าที่ได้ฟังมาทั้งหมด หมดไปแล้ว แต่รู้อะไรหรือยัง ไม่ว่าทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ขณะนั้นรักษาจิตหรือเปล่า ถ้าเข้าใจคือรักษา นิดหนึ่งก็ยังดี แต่ถ้าไม่เข้าใจ ขณะนั้นบริโภคขยะต่อไป

    นี่ก็คือไม่มีใครสามารถรู้ได้เลย เพราะเป็นธรรมที่เกิดขึ้นเพราะปัจจัยสะสมสังขารขันธ์ แม้แต่จะได้เห็น ได้ฟังอะไร ก็แล้วแต่ว่าขณะนั้นเป็นปัจจัยให้จิตประเภทไหนเกิดขึ้น ก็เป็นสิ่งที่ผ่านไปแล้ว อยู่ในความมืดต่อไปอีก ได้ยินอีก อยู่ในความมืดถ้าไม่เข้าใจ แต่พอเข้าใจแล้วก็สะสมการที่สังขารขันธ์ ซึ่งไม่ใช่เราเลย ไม่ว่าความเพียรขณะนี้ เพียรฟัง พอเข้าใจเมื่อไร ไม่ต้องคิดว่า แล้วสังเกตอย่างไร พิจารณาอย่างไรถึงเข้าใจ ไม่ใช่หน้าที่ของใครสักคน นอกจากธรรม คือเจตสิกทั้งหลายที่เกิดกับจิตนั่นเอง ทำกิจการงานพร้อมกับจิต ดับพร้อมกับจิต เข้าใจ ปัญญาก็เกิดร่วมด้วยในขณะนั้น

    เพราะฉะนั้น มีหน้าที่อย่างเดียว คันถธุระ ฟังธรรมให้เข้าใจเพื่อวิปัสสนาธุระ เพื่อจะเข้าใจความจริง รู้แจ้งสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ โดยความเป็นธรรมทั้งหมด

    เพราะฉะนั้น ธรรมเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้งตามลำดับที่ต้องเป็นผู้ตรงจริงๆ และรู้หนทางด้วยว่า มียาแล้วไหน บริโภคบ่อยไหม และรับประทานแล้วมากหรือน้อย รักษาได้เท่าไร ไม่ใช่เรื่องของเราเลย ธาตุทั้งหมด ธรรมทั้งหมด จะเข้าใจคำว่า อายตนะ เข้าใจคำว่า ธาตุ ก็เมื่อสิ่งนั้นเกิดปรากฏ แสดงความไม่ใช่เรา

    เพราะฉะนั้น ทุกอย่างที่มีจริงในขณะนี้พร้อมจะให้ปัญญาเข้าใจถูกตามความเป็นจริงว่า เป็นสิ่งที่มีจริง คือ ธรรม แล้วไม่ใช่ใครเลยทั้งสิ้น เมื่อไรเข้าใจอย่างนี้ เมื่อนั้นก็รู้ตามความเป็นจริงว่า การฟังพระธรรมทำให้สามารถเกิดปัญญาโดยสังขารขันธ์ ไม่ใช่เรารีบร้อนที่จะไปประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แต่เมื่อถึงกาละที่สังขารขันธ์ปรุงแต่ง ถึงกาละที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏแต่ละหนึ่ง ไม่เหมือนกันเลย แล้วแต่ว่าขณะนั้นเข้าใจอะไร สิ่งนั้นเกิดขึ้นปรากฏให้เข้าใจ ซึ่งอีก ๒,๐๐๐ ปี จะรู้ไหมว่า จะเข้าใจอะไร แต่สามารถเข้าใจได้เมื่อมีเหตุสมควรจะเข้าใจได้ และเดี๋ยวนี้เข้าใจแค่ไหน ยังไม่พร้อมจะเข้าใจสิ่งที่เกิดดับ กำลังปรากฏ

    เพราะฉะนั้น ก็กำลังรักษาจิตให้สะอาด ให้เบาบางจากความไม่รู้ และความติดข้อง แต่ต้องรู้ตัวว่า เป็นโรคมาก มีทางหาย


    หมายเลข 9946
    30 ธ.ค. 2566