จะเดินทางไหน


    ไม่ใช่ฟังเพื่อรู้จักคนอื่น แต่ตัวเองทุกวันที่ไม่เคยรู้เลยว่า กำลังเดินทาง แต่ไม่รู้ว่าทางไหน เหมือนคนตาบอดก็เดินเปะปะไปเรื่อยๆ แต่ไม่รู้เลยว่า กำลังอยู่ทางไหน

    เพราะฉะนั้น วันนี้ก็คงจะได้ทราบว่า ทุกคนเป็นกามโภคี บริโภคกาม แล้วเพลิดเพลินในกามมากน้อยแค่ไหน ตามระดับขั้นของความติดข้อง ซึ่งทุกคนที่ยังไม่ได้ดับความยินดีติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ถึงความเป็นพระอนาคามีบุคคลซึ่งใกล้ดับกิเลสหมดถึงความเป็นพระอรหันต์ เมื่อยังไม่ใช่บุคคลท่านนั้น จากการตรัสรู้ความจริงของสภาพธรรมตามลำดับ จากพระโสดาบัน เป็นพระสกทาคามีบุคคล เป็นพระอนาคามีบุคคล เป็นพระอรหันต์ มีแน่นอน เป็นไปได้ด้วย แต่ไกลมาก และต้องเป็นทางถูกด้วย ถ้าทางผิด ไม่มีทางเลยที่จะไปสู่ทางดับกิเลส เพราะเหตุว่าไม่มีปัญญา

    เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นรู้จักตัวเองว่า เราเป็นใคร และระดับไหนด้วย ติดข้องในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ เป็นธรรมดาของคนที่ยังมีเหตุให้ยินดีพอใจ ที่จะให้หมดกิเลสโดยไม่มีเหตุอันสมควร คือไม่มีปัญญา เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้น ธรรมต้องละเอียด ต้องรู้แม้ว่า ปัญญาคืออะไร กำลังอยู่ทางไหนด้วย ตอนนี้อยู่ในทางของการบริโภคกามอยู่ แต่ก็สะสมที่จะรู้อันตรายของทางนี้ เพราะเหตุว่าถ้าเป็นอย่างนี้ตลอดชีวิต แล้วผลของการกระทำด้วยกำลังของความติดข้อง ซึ่งเป็นทุจริตกรรม ก็จะไปสู่อบายภูมิ เกิดในนรก เกิดเป็นเปรต เกิดเป็นอสุรกาย เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน โดยประมวล แต่นรกก็มีหลายขุม ไม่มีใครพาใครไปได้ นอกจากกรรมที่ได้กระทำแล้ว เหมือนมาสู่โลกนี้ น่าอัศจรรย์ว่า ใครพา ญาติพี่น้องคนไหนพามาหรือเปล่าคะ เพื่อนฝูงคนไหนบอกหนทาง แล้วชี้ให้มาหรือเปล่า ก็ไม่ใช่ แต่กรรมที่ได้กระทำแล้วนั่นเอง ฉันใด ขณะนี้ก็มีกรรมที่ได้กระทำแล้ว และกำลังกระทำ และจะกระทำต่อไปด้วย ซึ่งก็เป็นทางทำให้ถึงเวลาก็ไปสู่ทางที่ได้เดินไป

    เพราะฉะนั้น สำคัญที่สุดที่จะรู้จักตัวเองว่า ขณะนี้แม้เป็นผู้บริโภคกาม แต่ก็ยังเห็นโทษของความไม่รู้ ทั้งๆ ที่สภาพธรรมกำลังปรากฏ ถ้าเกิดมาไม่มีใครชี้แจง ไม่มีใครแสดงเหตุผลให้รู้ ก็จนใจ จะไปรู้เองก็ไม่ได้ แต่เมื่อมีผู้ที่ทรงตรัสรู้ แม้นานมาแล้ว แต่วาจาสัจจะ เป็นความจริงทุกกาลสมัย เมื่อเป็นวาจาสัจจะ คือ คำพูดเรื่องความจริง สิ่งที่จริงที่ได้พูดตรงเพราะได้รู้ความจริงนั้น ก็จะเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย

    ด้วยเหตุนี้อาศัยพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง อาศัยพระธรรมที่ได้ทรงแสดงแล้วเป็นที่พึ่ง เพื่อถึงการเป็นพระอริยบุคคลเพื่อดับกิเลส ไม่อย่างนั้นก็ทำไมอีก เข้าใจทำไม เดินทำไม เต็มไปด้วยคำถาม เพราะไม่รู้ แต่เวลานี้ให้รู้ว่า แม้ผู้บริโภคกาม ก็ยังมีผู้ที่ประพฤติดี และประพฤติชั่ว ทุกคนต้องเห็น ต้องได้ยิน ต้องลิ้มรส ต้องรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส แล้วก็ติดข้อง เกิดโลภะ ความพอใจบ้าง หรือขุ่นเคืองใจเป็นโทสะบ้าง แต่ยังไม่ได้เข้าใจความจริง เพราะฉะนั้น ก็ต้องเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ แต่ก็ยังมีผู้ที่แม้จะมีโลภะ โทสะ มีความไม่รู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏ แต่ก็ประพฤติดี แสวงหาสมบัติ หรือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะในทางที่ไม่เบียดเบียนใคร

    เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ได้ทำทุจริตกรรมก็ไม่ได้เดินทางไปสู่อบายภูมิ แต่ถ้าทำแล้ว และเวลากรรมนั้นให้ผล ก็เหมือนชาตินี้ กุศลกรรมที่ได้ทำไว้ เมื่อไรไม่มีใครรู้ ชาติก่อน หรือแสนโกฏิกัปป์มาแล้ว ก็ยังสามารถทำให้เกิดได้ในภพภูมินี้

    ใครรู้บ้างคะว่ามาจากไหน ใครรู้ว่า ทำกรรมอะไรถึงได้เกิดมาเป็นคนนี้อย่างนี้ ไม่เป็นอย่างอื่น ซึ่งความจริงไม่ใช่ใครเลยนอกจากธาตุซึ่งสะสมสืบต่อมาเรื่อยๆ

    เพราะฉะนั้น ฟังธรรมเพื่อให้เข้าใจ จะมั่นคงอยู่ในทางคุณธรรม เพื่อจะได้ไม่ไปสู่อบายภูมิ โดยที่ใครก็พาไปไม่ได้ นอกจากการกระทำของตนเอง แต่ถ้าไม่เข้าใจ และไม่เห็นโทษภัย ความติดข้องก็สามารถทำให้เกิดทุจริต เพราะฉะนั้น ทางไปของผู้บริโภคกามอีกอย่างหนึ่ง คือ ไปสู่อบายภูมิ แล้วใครจะรับประกันได้ถ้าไม่ใช่พระโสดาบันบุคคล กรรมที่ได้กระทำแล้วยังสามารถให้ผลได้ ถึงแม้ว่าจะไม่ให้ผลทำให้ปฏิสนธิจิตเกิด แต่ก็เกิดแล้วยังตามมาให้ผลทีหลังได้


    หมายเลข 9948
    30 ธ.ค. 2566