สหชาตาธิปติปัจจัยกับกิจการงานในชีวิต
มีข้อสงสัยอะไรบ้างไหม ในเรื่องของสหชาตาธิปติ เวลาที่โลภะเกิดขึ้น หรือว่ากิจการงานใด ๆ ก็ตามที่กระทำสำเร็จลงไป ให้ทราบว่าไม่ใช่สำเร็จลงด้วยวิบากจิต เพราะเหตุว่าวิบากจิตเป็นเพียงผลของกรรมซึ่งเกิดขึ้นทำกิจปฏิสนธิ ภวังค์ จุติ และกิจเห็น กิจได้ยิน กิจได้กลิ่น กิจลิ้มรส กิจรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส และกิจอื่น เช่น สัมปฏิจฉันนกิจ สันตีรณกิจ ตทาลัมพณกิจเท่านั้นเอง ที่เหลือทั้งหมดที่จะเป็นกรรมหนึ่งกรรมใด เป็นกุศลกรรม หรืออกุศลกรรม ให้ทราบว่าไม่ใช่วิบากจิตซึ่งเป็นผล แต่เป็นตัวเหตุ
เพราะฉะนั้นในระหว่างที่เป็นชวนจิตซึ่งเป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้างนั้นเอง สภาพธรรมที่เป็นฉันทะบ้าง หรือเป็นวิริยะบ้าง เป็นจิตบ้าง เป็นวิมังสะ คือปัญญาบ้าง เป็นอธิปติได้ หมายความว่าเป็นหัวหน้าที่ทำให้สภาพธรรมอื่นเกิดขึ้นในขณะนั้น
ไม่ใช่เรื่องตำรา อย่าลืม เรื่องชีวิตประจำวัน ที่จะสังเกตพิจารณาได้ว่า การกระทำของท่านในวันหนึ่ง ๆ เวลาที่เป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้างนั้น เพราะสภาพธรรมใดเป็นอธิบดี หรือไม่ปรากฏว่าเป็นอธิบดีก็ได้ ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นอธิบดีทุกครั้งที่ฉันทเจตสิกเกิดกับชวนจิต หรือว่าวิริยเจตสิกเกิดกับชวนจิต
มีข้อสงสัยไหมคะในเรื่องสหชาตาธิปติปัจจัย ไม่ใช่ตัวตนไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล แต่ว่าที่จะเป็นอธิบดีได้ต้องเกิดกับจิตที่มีกำลัง
เพราะฉะนั้นจิตที่ปราศจากกำลัง ที่เว้นมี ๓ ดวง เว้นโมหมูลจิต ๒ ดวง กับหสิตตุปปาทจิต จิตยิ้มของพระอรหันต์ ซึ่งไม่เกิดร่วมด้วยกับเจตสิกที่เป็นเหตุ
ท่านผู้ฟังชอบอะไรบ้าง คนอื่นไม่สามารถจะรู้ได้ แต่ท่านเองสามารถจะรู้ชีวิตประจำวันของท่านได้ว่า ท่านกำลังทำสิ่งใดด้วยความพอใจ ขณะนั้นฉันทะเป็นอธิบดี ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นกุศล แม้อกุศล ท่านชอบเล่นอะไร ? ท่านชอบสนุกอะไร ท่านชอบอ่านอะไร ท่านชอบพูดคุยเรื่องอะไร ? หรือว่าท่านอาศัยวิริยะในการทำอะไร การกระทำสิ่งนั้นเกิดขึ้นเพราะต้องมีความเพียรจริง ๆ เพราะเหตุว่าไม่ได้เป็นไปด้วยฉันทะ เพราะฉะนั้นในขณะนั้นก็จะทราบได้ว่า เพราะวิริยะเป็นอธิบดีในชีวิตประจำวัน
เพราะฉะนั้นก็คือการระลึกรู้ลักษณะสภาพของกุศลจิตและอกุศลจิตของแต่ละบุคคลนั้นเองว่า ในขณะไหนสภาพธรรมใดเป็นอธิปติปัจจัย ทั้ง ๆ ที่เจตสิกและจิตเกิดร่วมกัน ก็ยังเห็นความต่างกันในชีวิตประจำวันซึ่งบางครั้งสภาพธรรมหนึ่งก็เป็นอธิบดี บางครั้งก็ไม่เป็นอธิบดี