ความน่าอัศจรรย์

 
คุณย่า
วันที่  16 มิ.ย. 2552
หมายเลข  12676
อ่าน  2,816

สนทนาธรรมที่มูลนิธิ
วันมาฆบูชา
วันจันทร์ที่ ๙ ก.พ. ๒๕๕๒

ธนากร อยาก..ทราบว่า ความสำรวมอินทรีย์ในชีวิตประจำวัน นั้นหมายถึงอะไรครับ

ท่านอาจารย์ ได้ยิน..คำนี้ อยากรู้เลยค่ะ พระไตรปิฏกจะมีคำนี้แน่นอน แล้วมีปัญญาที่จะรู้หรือยังว่า ขณะนี้มีเราจริงๆ หรือเปล่า ไม่มีนะค่ะ เป็นอนัตตา เพราะฉะนั้น "สำรวม" นี้มีจริงไหม แล้วเป็นเราหรือเปล่าและอะไร "สำรวม"

ธนากร เป็นสติ เป็นศีล

ท่านอาจารย์ เห็น..ไหมค่ะ ไปพูดถึงสิ่งซึ่ง จริงๆ แล้วยากที่จะรู้ได้ เพราะยังไม่รู้ว่าขณะนี้มีสภาพธรรมหลายหลากก็จริง แต่แม้กระนั้นลักษณะของสภาพธรรม ก็ยังสามารถจะจำแนกต่างกันไป เช่นสิ่งที่มีจริงๆ นี้ เกิดขึ้นแต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย กับสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุชนิดหนึ่ง น่าอัศจรรย์ในความเป็นธาตุทั้งหมด แต่และธาตุก็ไม่มีใครจะสามารถเปลี่ยนแปลง ความเป็นธาตุนั้นๆ ได้เลย รูปธาตุมีได้อย่างไร อ่อน แข็ง ขณะนี้มี เย็น ร้อน ขณะนี้มีเสียง มีได้ยินอย่างไร มีเพราะปัจจัยที่จะเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น นี่ก็ประการหนึ่ง แต่ยังไม่น่าอัศจรรย์เท่ากับว่า ในธาตุทั้งหมด ก็ยังมีธาตุอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งต่างจากสิ่งที่ไม่รู้อะไร แล้วใครก็ไม่สามารถทำให้เกิดขึ้นได้

ถ้าเข้าใจว่าแข็งไม่มีใครทำได้ ธาตุที่เป็นนามธาตุ ธาตุรู้ สภาพรู้มีจริง และเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ซึ่งไม่มีใครจะสามารถไปทำให้เกิดขึ้นมาได้ ก่อนจะรู้เรื่อง สติ ก่อนจะรู้เรื่อง อินทรีย์ หรือก่อนที่จะรู้เรื่อง สังวร ความรู้ต้องเป็นความเข้าใจจริงๆ ตามลำดับขั้น มิฉนั้นเป็นโทษ พอเห็นแล้ว สำรวมคืออะไร ยังไม่ทันรู้เลย แล้วจะบอกคนอื่นได้ไหมว่า สำรวมคืออะไร ถ้าเราไม่รู้ว่า สำรวมคืออะไร

ธนากร จาก..เมื่อก่อนที่เคยได้ฟัง เขาก็หมายความว่า หมายถึงการที่ไม่เห็นในสิ่งที่กำหนัด ยินดี หรือว่า บังคับไม่ให้ได้ยินเสียง แต่คงไม่ใช่ความหมายเพียงแค่นั้นแน่

ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น..ต้องตั้งต้น ตามลำดับจริงๆ เข้าใจความเป็นอนัตตาและเข้าใจสภาพธรรมที่ปรากฎในขณะนี้ ถ้าไม่มีสติสัมปชัญญะ ที่ใช้คำว่า สำรวมนี้ จะสามารถรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฎไหม เพราะเกิดแล้วเร็วมาก ยังไม่ทันรู้เลยดับแล้ว มีสิ่งที่ปรากฎ

เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีความเข้าใจ ว่าสิ่งนี้จริง จะรู้ได้ต่อเมื่อมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น จึงสามารถจะเข้าใจ ลักษณะที่มีจริงๆ ไม่ใช่เพียงได้ยินเรื่องของสิ่งที่มีจริง

เพราะฉะนั้น ส่วนมากจะได้ยินเรื่องราวของธรรม เวลาที่อ่านหรือฟัง ข้อความจากพระไตรปิฎก แต่ลืมว่าทั้งหมดที่ได้ยินนี้ เป็นความจริงของสิ่งที่มีจริง เรื่องทั้งหมดเป็นความจริง ของสิ่งที่มีจริงๆ

เพราะฉะนั้น ยังไม่รู้จักตัวธรรม เห็นเป็นธรรม แต่กำลังฟังเรื่อง นามธรรม ซึ่งเป็นธาตุรู้ อาศัยจักขุปสาท สิ่งที่ปรากฎทางตา ขณะนี้จึงปรากฎและใช้คำเรียกสภาพธรรม ที่กำลังเห็นนั้นว่า เป็นธาตุที่อาศัยจักขุปสาทเกิดขึ้น ภาษาบาลีจะใช้คำเฉพาะว่า จักขุวิญญาณ เป็นอีกชื่อหนึ่งของจิต เพราะว่าจะเรียกจิต เป็นวิญญาณ มโน ก็ได้ หมายถึงสภาพรู้ แต่เวลาที่ใช้คำเฉพาะว่า กายวิญญาณ มีความหมายว่า ธาตุรู้นี้ต้องอาศัย กายปสาท จึงจะสามารถรู้สิ่งที่แข็ง

ในขณะที่สิ่งที่กำลังปรากฎทางตา เพียงไม่มีจักขุปสาท จิตเห็นไม่เกิด สิ่งนี้ปรากฎไม่ได้เลย ต้องเข้าใจอย่างนี้ก่อน แล้วจึงจะรู้ว่าถ้าไม่มีปัญญาที่จะรู้ลักษณะ ขณะนี้ไม่ชื่อว่า สำรวมทางตา หู.....กายใจ เพียงแต่ว่า ปัญญาขั้นฟังเริ่มมี จนกว่าจะทำให้มีการรู้ตรงลักษณะตามที่ได้ยินได้ฟัง จึงจะสามารถที่จะเข้าใจได้ว่า สิ่งที่ได้ยินได้ฟังทั้งหมด เป็นความจริงตรงตามที่ได้ยินได้ฟัง

เพราะฉะนั้น อย่าพึ่งไปถึง " สำรวม " เพราะว่าเป็นเราสำรวมแน่ๆ ถ้าไม่รู้ว่าเป็น ธรรม แต่ละอย่าง การศึกษาธรรม ต้องเป็นไปตามลำดับขั้น ซึ่งเป็นปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ พระธรรมนี้สมบรูณ์ งามทั้งในเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุด ในเบื้องต้นนะค่ะ คือพูดถึงเรื่องสิ่งที่มีจริง ทั้งหมดค่ะ ไม่ว่า จะเป็นวันไหน เดือนไหน ปีไหน ก่อนนั้นนานแสนนาน หรือวันนี้ หรือต่อไปอีกนานเท่าไร สภาพธรรมที่มีจริง ที่ได้ยินได้ฟังนี้ เปลี่ยนไม่ได้เลย เพราะว่าเป็นการตรัสรู้ด้วยปัญญาของผู้ที่รู้แจ้ง ความเป็นจริงของสภาพธรรมนั้น

เพราะฉะนั้น การเข้าใจ สิ่งที่ได้ยินได้ฟัง จากผู้ที่รู้แล้ว ทรงแสดง ก็เป็นปริยัติ หมายความว่า ฟังเพื่อให้มีความรอบรู้ เข้าใจถูกในสิ่งที่มีจริงๆ ทั้งหมดในชีวิต ว่าความจริงแท้ของสิ่งนั้นน่ะคืออะไร แต่ว่ายังไม่ได้รู้จักตัวจริงของธรรม เพราะว่าตัวจริงของธรรมเดี๋ยวนี้เอง รู้จักหรือยัง กำลังปรากฎด้วย เดี๋ยวนี้เอง ที่กำลังปรากฎทางตา มีจริงๆ อย่างนี้ เป็นอย่างนี้ รู้จักเมื่อไร สิ่งนี้แหละเป็นธรรมอย่างหนึ่ง ไม่เป็นใครเลย จะเป็นใครได้อย่างไร เกิดมาใหม่ ก็เห็นแต่ไม่รู้ ว่าเป็นใคร ใช่ไหม เพราะฉะนั้น สิ่งที่ปรากฎทางตา จะเป็นอื่นไปไม่ได้ ก่อนจะสำรวม ต้องมีความเข้าใจให้ถูกต้องก่อน

ธนากร แสดงว่า..คนสมัยก่อน มีปัญญามาก

ท่านอาจารย์ กาลสมบัติค่ะ

ธนากร เพียงได้ยินคำว่า สังวรอินทรีย์ สติสัมปชัญญะก็เกิดได้ ไม่เป็นเราได้เลยครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
ups
วันที่ 16 มิ.ย. 2552

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
pornthip.d
วันที่ 16 มิ.ย. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
จักรกฤษณ์
วันที่ 16 มิ.ย. 2552

เพราะฉะนั้น อย่าพึ่งไปถึง "สำรวม" เพราะว่าเป็นเราสำรวมแน่ๆ

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
hadezz
วันที่ 16 มิ.ย. 2552

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
chatchai.k
วันที่ 17 มิ.ย. 2552

เป็นหัวข้อที่น่าสนใจ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
saifon.p
วันที่ 20 มิ.ย. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
pornpaon
วันที่ 20 มิ.ย. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
คุณ
วันที่ 8 พ.ค. 2553

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
pamali
วันที่ 11 ต.ค. 2553
ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
nopwong
วันที่ 23 ธ.ค. 2555

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
Prakhon
วันที่ 16 ธ.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
chatchai.k
วันที่ 24 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
สิริพรรณ
วันที่ 28 ต.ค. 2566

กราบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

น้อมอุทิศกุศลทั้งปวงที่เกิดจากการศึกษาพระธรรมแด่คุณย่าสงวน สุจริตกุล มีจิตโสมนัสยินดีในธรรมทานด้วยเทอญ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ