สิ่งที่มีแต่ยังไม่รู้

 
คุณย่า
วันที่  1 ก.ย. 2552
หมายเลข  13434
อ่าน  2,908

พื้นฐานพระอภิธรรม
อาทิตย์ ๒๖ ต.ค. ๕๑

อรวรรณ สืบเนื่องวานนี้ เมื่อบ่ายวันเสาร์ มีการศึกษากันเรื่องวิถีจิต รายละเอียดของวิถีจิต ทุกคนก็คิดว่าเป็นเรื่องเข้าใจยาก ศัพท์แสงก็เยอะ ข้อสำคัญคือเมื่อศึกษาแล้วจะทราบว่า ย่อมเป็นพุทธวิสัยที่จะทราบได้อย่างนั้น สำหรับพวกเราไม่มีปัญญาที่จะทราบอย่างนั้นได้ จะรู้รายละเอียดถึงขณะจิต หรือ เป็นวิถีของวาระจิต แต่ละวาระ ซึ่งตอนนี้ จะกราบเรียนให้ท่านอาจารย์ขยายความว่า ในการศึกษาเรื่องวาระวิถีจิต เมื่อทราบว่าเราไม่สามารถรู้ขณะจิตในขณะนั้นได้ ....ตอนไหนเป็นปัญจทวารวิถี....ตอนไหนเป็นมโนทวารวิถี หรือในรายละเอียดอะไรก็แล้วแต่ว่าเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้น ในการศึกษาตอนนี้สำหรับพวกเราที่ศึกษาก็ยากแล้ว แล้วที่จะให้เข้าใจสภาพธรรมที่ปรากฏตรงนี้ซึ่งความจริง วิถีจิตก็เป็นขณะนี้นี่แหละ พวกเราอาจจะไม่เข้าใจตรงนี้ จึงจะขอเรียนรบกวนให้ช่วยขยายความว่าจริงๆ แล้ววิถีจิตก็ไม่ใช่ขณะอื่นก็คือขณะเองในชีวิตประจำวั

อาจารย์ การศึกษาธรรม อย่ากังวลเรื่อง “ชื่อ” แต่ให้มีความเข้าใจจริงๆ ว่าธรรมมีจริงๆ กำลังปรากฏ ซึ่งน้อยคนจะมีโอกาสได้ฟังได้เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ จะเห็นได้จริงๆ ค่ะว่า ถ้าไม่เข้าใจว่าขณะนี้เป็นธรรม จะไม่รู้เลยว่า " การศึกษาเป็นการฟัง " เพื่อให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ ในภาษาหนึ่งภาษาใดก็ได้เพราะว่าขณะยังไม่มีคำเลย มี ธรรม ไหม....เห็นไหมคะทำไมจึงต้องใช้คำ เพราะว่า ธรรมก็มีหลากหลาย “เสียง” เป็นธรรม “เห็น” เป็นธรรม “คิดนึก” เป็นธรรมๆ โดยไม่มีโอกาสจะเข้าใจถูกว่า เป็นธรรม ไม่มีการได้ยินได้ฟัง เพราะฉะนั้น การได้ยินได้ฟังสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม ที่เป็นสิ่งซึ่งคนอื่นไม่สามารถที่จะกล่าวได้ถึงเลย นอกจาก พระอรหันตสัมมาสัมพุธเจ้า ที่ทรงตรัสรู้สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ โดยละเอียด โดยถ่องแท้ โดยประจักษ์แจ้งโดยสิ้นเชิง โดยประการทั้งปวง

เพราะฉะนั้น แสดงให้เห็นว่า สิ่งที่ทรงแสดงนี้ ไม่พ้นจากสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้เลย เพราะฉะนั้น จุดประสงค์ที่ฟังแล้วเราจะรู้แจ้ง สภาพธรรม ตามที่ได้ยินได้ฟังเมื่อไร นั่นไม่ใช่จุดประสงค์ จุดประสงค์ คือ รู้ว่าให้รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ ทั้งๆ ที่กำลังปรากฏในขณะนี้

เพราะฉะนั้น จึงต้องอาศัยการฟัง เพื่อที่จะเข้าใจธรรม คิดถึงตัวเราหรือเปล่า กำลังฟังธรรม คิดถึงตัวเรา หรือว่ามีธรรมปรากฏ และกำลังฟัง เพื่อที่จะให้มีความเห็นถูกในสิ่งที่ปรากฏเพราะฉะนั้น การฟังจึงต้องละเอียด ไม่ใช่ไปคิดเรื่องอื่น เรื่องเรา หรือไปคิดเรื่องเมื่อไรจะรู้สภาพธรรม ที่ได้ยินได้ฟัง นั่นคือไม่ได้ฟังธรรมที่กำลังได้ยินได้ฟัง แต่การที่จะเข้าใจธรรม ที่ได้ยินได้ฟังที่กำลังปรากฏนี้ ก็เป็นแต่ละคน ที่จะรู้ว่ามีความเข้าใจในสิ่งที่ได้ยินได้ฟังเพิ่มขึ้นหรือเปล่าแค่ไหน หรือไปนั่งคิดว่าฟังแล้วเมื่อไรจะเข้าใจ หรือว่าเมื่อไรจะรู้อย่างนั้น อย่างนี้ นั่นคือไม่ได้เข้าใจธรรมแล้วก็ไม่ได้ฟังธรรมด้วย

เพราะฉะนั้น การฟังธรรมเพื่อรู้จักธรรมเพื่อละความไม่รู้ ละความติดข้อง ที่เคยยึดถือธรรมทั้งหมดที่ปรากฏ ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็น “อัตตา อัตตสัญญา ที่จำไว้มั่นคงมานานแสนนาน” เพราะฉะนั้น กว่าปัญญาจะค่อยๆ ซึมเข้าไป จนกระทั่งถึงอนุสัยกิเลสที่ติดแน่นอยู่ในจิต ก็ไม่ต้องไปคิดถึงชื่อต่างๆ มรรคอะไรๆ ในเมื่อขณะนี้ฟังธรรมก็ยังไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ

ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าจะทรงแสดงธรรมโดยนัยของพระสูตร พระวินัย หรือ พระอภิธรรม ก็ตาม ก็คือสิ่งที่มีจริง ยังไม่ขอกล่าวถึงที่คุณอรวรรณกล่าว พระสูตรเมื่อวานนี้ กล่าวถึงนิพเพธิกสูตร ว่าด้วยธรรมปริยายชำแรกกิเลส อะไรบ้างละคะที่กล่าวถึง

กุล ท่านกล่าวถึง “กาม” ธรรมที่จะเป็นเหตุให้ชำแรกกิเลส

อาจารย์ อะไรบ้างละคะที่กล่าวถึง ได้แก่ การทราบชัดกาม (ความกำหนัด ความใคร่ ความยินดี) เหตุเกิดแห่งกาม (คือผัสสะ) ความต่างแห่งกาม (กามในรูป.....พะ) วิบากแห่งกาม (บุคคลมีความใคร่ จึงยังอัตภาพที่เกิดขึ้นจากความใคร่ นั้นๆ ให้เกิดขึ้น) ความดับแห่งกาม (เพราะผัสสะดับ) ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับกาม (อริยมัคคมีองค์ ๘)

๒. เวทนา ความรู้สึก ๓ อย่าง สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ เหตุเกิด--ความดับ

๓. สัญญา (ความจำ)

๔. อาสวะ (กิเลสที่หมักดองไหลไป กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชสวะ)

๕. กรรม (เจตนาเป็นกรรม) เหตุเกิด--ความดับ

๖. ทุกข์ (อุปาทานขันธ์ ๕)

เป็นวิถีจิตหรือเปล่า ท่านต้องกล่าวเรื่องวิถีจิตหรือเปล่า

เห็นไหมคะ ทรงแสดงธรรมเพื่อให้เข้าใจถูกตามลำดับขั้น ขณะนี้มีกาม มีธรรมที่เป็นกาม ที่ใช้คำว่า กามหรือเปล่า เพราะว่ากามคืออะไร ...นี่ค่ะ ได้ยินแล้วอย่าพึ่งผ่านไป พึ่งผ่านไปเมื่อวานนี้ ก็ทบทวนอีกครั้งหนึ่ง เพื่อที่จะได้เข้าใจถึงที่คุณอรวรรณถาม แต่ว่าถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้ เราก็ข้ามไปเลย ทั้งๆ ที่ขณะนี้มีกามไหม “กาม” ก็คือ สภาพที่ใคร่ น่าใคร่ มีความหมาย ๒ อย่าง ขณะนี้เองค่ะ มีกามคือ ความใคร่ ความติดข้อง ความพอใจ หรือเปล่า....ก็ไม่รู้ใช่ไหมคะ ก็ไปคิดเรื่องอื่นทั้งหมดเลย แต่ธรรมนี้ขณะที่กำลังกล่าวถึง ธรรมใดให้คิดถึงสิ่งที่มีแต่ยังไม่รู้ เพื่อที่จะค่อยๆ รู้ ค่อยๆ เข้าใจ เพื่อที่จะชำแรกดับกิเลสได้ เพราะว่ากิเลสนี้ก็ลึกมาก เพียงแค่ได้ยินได้ฟังผิวเผินไม่สามารถจะดับกิเลสได้เลย

เพราะฉะนั้น แม้ขณะนี้เอง ที่กำลังฟังนี้ ไม่ได้กล่าวเรื่องวิถีจิต เพราะกำลังมีสิ่งที่กำลังปรากฏ ที่จะต้องรู้ตามความเป็นจริง ว่าเมื่อมีสิ่งที่ผัสสะกระทบ จิตเกิดขึ้นรู้ มีความใคร่ติดข้องในสิ่งที่เห็น ต้องกล่าวถึงวิถีจิตไหม ไม่ต้องใช้คำว่าวิถีจิตเลยแต่ว่าทุกคนกำลังมีสภาพธรรมนี้ เพื่อที่จะได้เข้าใจ ขณะหลับเป็นอย่างนี้หรือเปล่าคะ ....ไม่เห็น ไม้ได้ยินเลย ไม่ใช่วิถีจิต เพราะฉะนั้น การฟังธรรม ก็คือ แม้จะไม่กล่าวถึงวิถีจิต แต่ขณะนี้พูดถึงเรื่อง กาม กำลังปรากฏ แล้วก็มีความติดข้องในสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น แค่นี้ก็ หมายถึง วิถีจิตแล้วใช่ไหม ถ้ามีความเข้าใจ

เพราะฉะนั้น ทั้งหมดนี้ ถ้าไม่เป็นความเข้าใจแล้ว แม้การอ่านพระสูตร หรือพระวินัย ก็ไม่มีทางที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรม เหมือนกับแยกเป็นส่วน แต่ความจริงไม่ใช่เลยค่ะ ถ้าโดยการศึกษาในภาษาของเราเราก็บอกว่า ขณะที่จิตไม่เห็น ไม่ได้ยิน......ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่คิดนึก ก็ยังมีจิต แต่ว่าจิตขณะนั้นไม่ได้ทำการเกิดขึ้นเห็น หรือทำอะไรทั้งสิ้น แต่เมื่อมีจิตแล้ว จิตทำอะไร จิตเกิดขึ้นมาทำอะไรคะ? เพราะฉะนั้น แม้ว่าขณะนั้นไม่ใช่จิตเห็น จิตได้ยิน...จิตคิดนึก ขณะนั้นจิตก็เกิดใครจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม ทำกิจภวังค์เกิดดับสืบต่อ ดำรงภพชาติอย่างนี้พิสูจน์ชีวิตเราได้ไหม ...ผ่านมาแล้วเมื่อคืนนี้และขณะนี้กำลังเป็นอย่างนี้ แต่ความละเอียดมากกว่านี้ เพราะฉะนั้นที่ทรงแสดงความละเอียด ก็เพื่อที่จะได้เห็นความเป็นอนัตตา แต่ถ้าเรามีอัตตา ที่เราศึกษาธรรม แล้วเรามีอัตตาที่เราอยากจะรู้ธรรมก็คือไม่ได้ละคลายอะไร ไม่ได้ละคลายความไม่รู้ เพราะว่าการรู้แจ้งสภาพธรรมนี้ ถ้ามีเหตุสมบูรณ์สมควรที่จะให้เกิดเดี๋ยวนี้ สามารถจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมเดี๋ยวนี้

เพราะฉะนั้น ที่แต่ละคนฟังแล้วไม่รู้แจ้ง ก็แสดงว่า อวิชชาความไม่รู้มาก แล้วไปคิดถึงสติ ไปคิดถึงสัทธา ไปคิดถึงวิริยะคิดถึงอะไร ....ลืมคิดถึงที่จะค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ การที่จะรู้แจ้งสภาพธรรมที่ปรากฏในขณะนี้ได้ ก็คือ ความเห็นถูกที่ค่อยๆ เห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรม นี่คือภาไทย แต่ถ้าเป็นภาษาบาลีก็มีคำว่า “ปัญญา” มีคำว่า “ญาณ” ซึ่งต่างระดับขั้นตอน แต่ก็ต้องมีความเข้าใจที่ถูกต้อง มีสิ่งที่กำลังปรากฏแล้วไม่รู้ ไม่เข้าใจ ไม่เห็นถูก ว่าสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้เป็นอะไรจึงยึดถือว่าเป็นเรา

ด้วยเหตุนี้ การฟังธรรมไม่ว่าจะฟังแล้วมีความเข้าใจสามารถที่จะเข้าใจตลอด ไม่ว่าจะในพระสูตรไหนทั้งสิ้น เพราะว่าเมื่อมีกามกำลังปรากฏ “กาม” อีกนัยหนึ่งก็คือ”โลกามิส” รูป เสียง....โผฏฐัพพะ เพราะอะไร? ถ้ามีความใคร่ ความยินดี ความพอใจเดี๋ยวนี้ รู้ได้เลยค่ะ ในอะไร ....ในโลกซึ่งมีสี มีเสียง--มีสิ่งที่เย็นร้อน อ่อน แข็ง ที่ปรากฏ มีอย่างอื่นอีกไหมในโลกนี้ ไม่ใช่โลกอื่นนะคะ โลกนี้ล่ะค่ะ เต็มไปด้วย รูป เสียง.....โผฏฐัพพะ ไม่สามารถที่จะพ้นไปจากเห็น ได้ยิน...รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสได้ แล้วขณะใดก็ตาม ที่มีการเห็น การได้ยิน....มีการรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสมีการคิดนึก ขณะนั้นไม่ใช่ภวังคจิต แต่เป็นวิถีจิต เพราะว่าอาศัยทางหนึ่งทางใด เกิดขึ้นรู้สึกที่กำลังปรากฏแต่ละทาง

เพราะฉะนั้น เริ่มก็คือเข้าใจให้ถูกต้อง แต่ว่าพระอภิธรรมจะแสดงโดยนัยที่ละเอียดว่า เวลาที่จากภวังคจิต สู่การที่จะเป็นวิถีจิตได้จะต้องมีจิตเกิดดับอะไรบ้าง นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ไม่ปรากฏแม้ว่าจะกล่าวถึง ภวังค์ ขณะนี้ ก่อนที่วิถีจิตจะเกิด เมื่อภวังค์กำลังดำรงภพชาติ ทำกิจของภวังค์อยู่เรื่อยๆ แต่ว่าเมื่อมีการกระทบอารมณ์ทางหนึ่งทางใด ใน ๖ ทาง ก็จะต้องเป็นเหตุเป็นปัจจัยที่จะทำให้ ภวังค์ ไม่เกิดต่อเพื่อที่จะรู้อารมณ์ ที่จะกระทบแต่ก่อนที่ภวังค์จะไม่เกิด จะต้องมีภวังค์จลนะดับไปก่อน จากภวังค์แล้วก็เป็นภวังค์จลนะ เมื่อภวังค์จลนะดับ ภวังค์สุดท้ายใช้คำว่าภวังค์สุดท้ายชื่อว่า ภวังค์คุปัจเฉทะ แต่จะไม่จำก็ไม่เป็นไร แต่ให้ทราบว่าเป็นการที่จิตแต่ละขณะกำลังเกิดขึ้นเป็นไปอย่างนี้ ถ้ามีการเข้าใจ ก็คือว่าไม่ใช่เราเลย ยิ่งเข้าใจละเอียดขึ้น ก็จะหาความเป็นเราไม่ได้ ถ้าไม่มีพื้นฐานความเข้าใจอย่างนี้ แม้สภาพธรรมกำลังปรากฏจะเข้าใจไหม ว่าเป็นธรรมแต่ละอย่าง จนกระทั่งสามารถที่จะมีอวิชชาและโลภะน้อยลง จางลงจนกระทั่งไม่สามารถที่จะปิดบังลักษณะจริงๆ ของสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับในขณะนี้ได้

เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องที่ฟังให้เข้าใจ จะได้ยินคำไม่ต้องมาก แต่เข้าใจจริงๆ ในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง เมื่อเข้าใจแล้วไม่ลืม ก็จะสามารถจะรู้ลึกได้ ว่าขณะนี้กำลังเป็นอย่างนั้นหรือเปล่าคือมีสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางตา จมูก ลิ้น ทางกาย ล้วนเป็น “กาม” เพราะฉะนั้น ในขณะที่สิ่งนี้ปรากฏ เพราะความไม่รู้จะให้ไม่มีความยินดีติดข้องได้ไหม

อีกอย่างหนึ่งก็คือ เวลาที่พูดถึงสภาพธรรมอะไร เพียงเข้าใจ ความหมายของชื่อ แต่ไม่ได้รู้ ลักษณะจริงๆ ของสภาพธรรมนั้น เช่น ในขณะใดก็ตามที่จิตเกิดขึ้นจะต้องมีเจตสิกที่เป็นความรู้สึก เกิดร่วมด้วยทุกครั้ง ก็ไม่รู้แล้วใช่ไหมคะ แต่ก็ฟังบ่อยๆ ไม่ใช่ให้จงใจไปบังคับบัญชาได้

เพราะฉะนั้น จากการฟังมากๆ และไม่เคยรู้ลักษณะของความรู้สึกเลยในวันหนึ่งๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นความรู้สึก อทุกขมสุข ไม่สุข ไม่ทุกข์ ใครจะไปรู้ได้ พอสุขเกิดขึ้นก็รู้สึกเป็นสุข ต่างกับไม่สุขไม่ทุกข์

เพราะฉะนั้น แม้ขณะนี้จะมีเวทนา ความรู้สึกเป็นธรรมที่ต้องเกิดกับจิต ....อย่าลืมนะคะ อย่าไปคิดเป็นเวทนาภาษาไทย นี่คือการฟังธรรม เพื่อให้เข้าใจว่าเวลาใช้คำว่า “เวทนา” หมายความถึง สภาพธรรม ที่มีจริง เกิดกับจิต แต่ไม่ใช่จิต และ“เวทนา” เป็นลักษณะที่กำลังรู้สึก เห็นไหมคะว่ามี แต่เราไม่เคยสนใจ เราข้ามไปเรื่องอื่นมากมาย แต่ว่าไม่สามารถที่จะเข้าใจลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏได้ .......เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ปัญญา ความเห็นถูกว่า ขณะนี้ “เป็น ธรรม” ที่เมื่อได้ฟังแล้วก็สามารถจะเห็นความเป็นอนัตตาเพิ่มขึ้น

เพราะฉะนั้น แต่ละคำๆ ที่ได้ผ่านไป ไม่ว่าจะในพระสูตรหรือที่ไหนก็ตาม ถ้าพิสูจน์แล้ว ก็คือว่า ไม่ว่าขณะไหนถ้าระลึกได้ ขณะนั้นก็สามารถที่จะเริ่มเข้าถึงลักษณะที่เป็นธรรม ซึ่งแม้เกิดแล้วดับไปอย่างรวดเร็ว สืบต่อ ไม่มีอะไรเป็นของเก่าเลยเกิดแล้วดับไป เกิดแล้วดับไป ไม่กลับมาอีก แต่แม้กระนั้น จากการฟัง ประโยชน์ ผลก็คือว่า เข้าใจคำที่เริ่มสามารถให้เข้าใจธรรมจากขั้นฟัง จนกระทั้งถึงเข้าใจลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ แม้ไม่มาก แต่ก็รู้ว่า “อริยสัจจะ” ไม่ใช่ขณะอื่น แต่ในขณะนี้ ที่กำลังมีสิ่งที่ปรากฏ

คุณอรวรรณยังสนใจเรื่องวิถีจิตไหมคะ?

อรรวรรณ ท่านอาจารย์กล่าวก็ชัดเจนในขณะนี้เอง ขณะที่ สภาพธรรมกำลังปรากฏ การที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ทุกอย่างเป็นธรรมและรู้ได้ ๖ ทาง ในการศึกษาของพวกเรา เมื่อทราบในรายละเอียด ก็ไม่พ้นจากสภาพธรรมที่ปรากฏ แม้พระสูตรเมื่อวานเรื่องกาม เรื่องเวทนา เรื่องสัญญา

อาจารย์ แค่นี้เห็นไหมคะ? กล่าวได้ไม่พ้นสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้กำลังปรากฏ กว่าจะค่อยๆ รู้สิ่งที่กำลังปรากฏจริงๆ ก็ต้องอาศัยปัญญาจากความเข้าใจละเอียดขึ้น เห็นไหมคะ ไม่ข้ามแล้วมีสิ่งที่ปรากฏ กว่าจะค่อยๆ เข้าใจ สิ่งที่ปรากฏ “โดยที่ไม่ใช่เรา” แค่รู้ว่า “ขณะนี้เป็นธรรม” ก็ยาก และรู้โดยไม่ใช่เพียงคิดกำลังมีธรรมจริงๆ ด้วย ก็เจอตัวธรรม แต่ความเข้าใจธรรมไม่พอที่จะเห็นถูกตามความเป็นจริงของธรรมนั้น จนกว่าการฟังจะเพิ่มขึ้น

คุณอรวรรณจะต่อก็ได้นะคะ นี่เพียงแต่จะให้เข้าใจถูก ว่าแม้แต่ความคิด หรืออะไรต่างๆ ทั้งหมด ก็เพื่อจะให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงที่กำลังปรากฏ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
จักรกฤษณ์
วันที่ 2 ก.ย. 2552

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
อภิรดี
วันที่ 2 ก.ย. 2552

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
suwit02
วันที่ 2 ก.ย. 2552

อริยสัจจะ ไม่ใช่ขณะอื่น แต่ในขณะนี้ ที่กำลังมีสิ่งที่ปรากฏ สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
hadezz
วันที่ 3 ก.ย. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ ุ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Jans
วันที่ 4 ก.ย. 2552

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
อภิรดี
วันที่ 28 ก.ย. 2552

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
pamali
วันที่ 7 ต.ค. 2553
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
nopwong
วันที่ 22 ธ.ค. 2555

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
ms.pimpaka
วันที่ 25 มี.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
chatchai.k
วันที่ 24 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ