อินเดีย ...อีกแล้ว37

 
kanchana.c
วันที่  30 ธ.ค. 2552
หมายเลข  14942
อ่าน  3,628

พระวิหารเชตวัน

ตอนเช้าก็นั่งรถผ่านพระวิหารเชตวัน เพื่อไปเยี่ยมชมบ้านท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีและ

บ้านปุโรหิตบิดาของท่านพระองคุลิมาล และก็ผ่านกลับไปเพื่อชมสถานที่แสดงยมก

ปาฏิหาริย์ เมื่อรับประทานอาหารกลางวันที่โรงแรมแล้ว ก็นั่งรถเฉียดไปวัดไทยสาวัตถี

เพราะเข้าใจผิดว่าเป็นวัดไทย ปรากฏว่าเป็นของพระเขมรไปแล้ว ต้องย้อนกลับไปทาง

โรงแรมเพื่อไปวัดไทยเชตวัน ที่ยังเป็นสถานที่ก่อสร้างชั่วคราว ได้ทำบุญซื้อที่ดินอีก

๑ ตารางคืบเช่นเดิม วัดไทยเชตวันนั้นอยู่กลางทุ่งนา ดูเงียบมาก นึกเห็นใจผู้ที่สละ

เวลาดูแลวัดเหมือนกัน ทั้งพระทั้งชี เพราะรู้สึกว่าเงียบเหงามากกว่าเงียบสงบ

และในเวลาบ่ายสองโมงก็ได้เวลาไปพระวิหารเชตวันเสียที หลังจากเฉียดไปเฉียดมา

อยู่หลายรอบ

เมื่อลงจากรถ พวกเราเกือบทั้งคณะนั่งลงกราบที่พื้น ตรงประตูทางเข้าพระเชตวัน

เพราะเป็นสถานที่ที่พระผู้มีพระภาคเสด็จดำเนินเข้าออกเป็นประจำ เป็นเวลาถึง ๑๙

พรรษา แต่เราคนใจร้อน เลยเดินผ่านเข้าไปกราบตรงประตูด้านใน คิดว่าท่านก็ต้อง

เสด็จดำเนินจากข้างในออกมาเหมือนกัน

เมื่อมาฟังธรรมท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ใหม่ๆ นั้น ท่านอาจารย์นำพระสูตร

มาอ่านด้วยเสียงไพเราะ ฟังแล้วจับใจจริงๆ ว่า

“สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑก

เศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี...”

อยากจะเห็นพระเชตวัน และก็ได้มาเห็นแล้วครั้งนี้เป็นครั้งที่ ๓ แต่ละครั้งพระวิหาร

เชตวันก็เปลี่ยนไป ดูสะอาด สวยงามมากขึ้น มาแล้วก็อยากมาอีก

เมื่อเข้าไปสู่พระวิหารนั้น มีผู้แสวงบุญจากศรีลังกาในชุดขาวเนืองแน่นไปทุกๆ แห่งใน

พระวิหาร ที่ต้นโพธิ์พระอานนท์ (อานันทโพธิ์) ก็เช่นกัน มีชาวศรีลังกานั่งนมัสการแน่น

ไปหมด ได้ทราบว่าต้นโพธิ์ต้นนี้เป็นต้นโพธิ์ที่มีอายุยืนที่สุดในโลก เป็นต้นโพธิ์ที่ปลูก

เพื่อเป็นเครื่องหมายแทนพระผู้มีพระภาค ในขณะที่ทรงเสด็จไปโปรดมหาชนนอกกรุง

สาวัตถี ในเวลาออกพรรษา เพราะประชาชนไม่เห็นพระผู้มีพระภาค ก็อยากจะมีเครื่อง

สักการบูชาแทนพระองค์ เมื่อท่านพระอานนท์ไปกราบทูลให้ทรงทราบ ก็ทรงอนุญาต

ให้ไปนำกิ่งโพธิ์จากตำบลพุทธคยามาปลูกที่หน้าวิหารเชตวัน ท่านพระมหาโมคคัลลา

นะอาสาเหาะไปนำผลสุกของต้นพระศรีมหาโพธิ์มาในวันนั้น โดยท่านอนาถบิณฑิก

เศรษฐีเป็นผู้ปลูก ท่านพระอานนท์เป็นผู้บำรุงรักษา และพระผู้มีพระภาคทรง ประทับนั่ง

ที่ใต้ต้นโพธิ์นี้ ๑ คืน ตั้งแต่นั้นมาชาวเมืองสาวัตถีก็พากราบไหว้ต้นโพธิ์แทนพระ

พุทธเจ้าในเวลาที่พระองค์ไม่ได้ประทับอยู่ในพระวิหารเชตวัน

นอกจากนั้นในพระวิหารเชตวัน ก็มีพระคันธกุฏีของพระผู้มีพระภาค ซึ่งที่ตั้งขาเตียงใน

พระคันธกุฎีนั้นจะเป็นที่เดิมสำหรับพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พวกเราพากันไปกราบ

นมัสการที่พระคันธกุฎี คนใกล้ชิดได้ซื้อดอกกรรณิการ์ที่มีแขกมาขายบูชาด้วยการโปรย

ไปรอบๆ ดูสวยงามมาก ดอกกรรณิการ์ที่อินเดียมีดอกใหญ่กว่าของไทย และมีกลิ่นหอม

กว่า อาบีมคนขับรถบอกชื่อเป็นภาษาอินเดีย ซึ่งแปลว่า ราชินีแห่งราตรี

แล้วก็หาที่สนทนาธรรมใต้ต้นไม้ หันหน้าไปทางพระคันธกุฎี เราหันไปมองดูรอบๆ

เพราะไม่มีเวลาที่จะเดินชมให้ทั่ว ภายหลังได้ทราบจากหนังสือภาพ “ตามรอยบาทพระ

ศาสดา” ว่า มีศาลาพิจารณาอธิกรณ์ภิกษุชาวกรุงโกสัมพี วิหารหลวง กุฏีของท่านพระ

สารีบุตรและท่านพระมหาโมคคัลลานะ กุฎีของพระมหาสาวก สระน้ำและกุฎีที่พักของ

ภิกษุณีสงฆ์ และธรรมศาลา สถานที่ฟังพระธรรมเทศนาที่กว้างขวางใหญ่โต มองเห็น

ได้ชัดจากที่นั่งสนทนาธรรม สถานที่แห่งนี้เป็นที่มาของพระสูตรมากมาย ทำให้อดคิด

ถึงเรื่องที่ประทับใจมากเรื่องหนึ่งไม่ได้ คือ เรื่องของท่านปฏาจารา ซึ่งเคยฟังพระเทศน์

ตั้งแต่เด็ก

ท่านปฏาจาราเป็นลูกสาวเศรษฐี ชอบพอกับคนงานในบ้าน ในวันที่พ่อแม่จะให้แต่ง

งานกับชายที่ฐานะเท่าเทียมกัน ท่านก็หยิบสมบัติหนีไปกับคนงานนั้น เมื่อมีครรภ์แก่

คิดจะกลับไปคลอดที่บ้าน แต่สามีไม่พาไป จึงหนีไปเอง แต่ไปคลอดเสียกลางทาง

สามีตามมาพบจึงพากันกลับไป พอท้องที่สองแก่ใกล้จะคลอด ก็ทำอย่างเดิมอีก คราว

นี้สามีตามไปทัน และเกิดพายุฝน จึงขอให้ช่วยสร้างเพิงบังลมฝนให้ แต่สามีก็ถูกงูกัด

ตาย ท่านจึงต้องพาลูกทั้ง ๒ คนข้ามแม่น้ำไปหาพ่อแม่ที่กรุงสาวัตถี แต่ฝนตกหนักทำ

ให้น้ำเชี่ยวกราก ท่านทิ้งลูกคนหนึ่งไว้บนฝั่ง นำลูกอีกคนหนึ่งไปไว้อีกฝั่ง เหยี่ยวโฉบ

เอาลูกอ่อนไปเพราะคิดว่าเป็นก้อนเนื้อ ขณะที่ท่านโบกมือไล่เหยี่ยว ลูกอีกคนหนึ่งก็คิด

ว่าแม่เรียก จึงโดดหายไปในน้ำ ท่านเสียใจอย่างมาก เดินทางไปหาพ่อแม่ ก็ทราบข่าว

ว่า พายุเมื่อคืนนี้ทำให้บ้านล้มทับพ่อแม่และพี่ชายของท่านเสียชีวิตไปแล้ว

ท่านเสียใจเสียสติจนเป็นบ้า ไม่นุ่งผ้าเดินร้องไห้อยู่ คนจึงเรียกท่านว่า “ปฏาจารา”

เพราะมีอาจาระตกไป วันหนึ่งท่านเดินไปสู่พระวิหารเชตวัน คนก็ห้ามไม่ให้เข้า แต่

พระผู้มีพระภาคตรัสให้ท่านมีสติ ด้วยพระดำรัสที่ประกอบด้วยเมตตาและอ่อนหวานว่า

“ดูกรน้องหญิง จงมีสติเถิด”

ทันใดนั้นท่านกลับได้สติ เพราะพุทธานุภาพ เกิดความละอายใจ ก็เลยนั่งคุกเข่าลง

ชายคนหนึ่งได้โยนผ้าห่มให้ ท่านนุ่งผ้านั้นแล้วถวายบังคมพระศาสดา แล้วเล่าเหตุ

ของความเศร้าโศก พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

“น้ำในมหาสมุทรทั้งสี่ยังมีปริมาณน้อย ความเศร้าโศกของนรชนผู้ถูกทุกข์กระทบแล้ว

น้ำของน้ำตามิใช่น้อย มีปริมาณมากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ นั้นเสียอีก น้องหญิง

เหตุไรเจ้าจึงยังประมาทอยู่เล่า”

แล้วทรงตรัสกถาบรรยายสังสารวัฏอันยาวนานหาเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ เวลาจบ

พระธรรมเทศนาท่านได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน ท่านทูลขอบรรพชาในสำนักของ

ภิกษุณี ต่อมาก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ผู้มีปฏิสัมภิทา ๔ และเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุณีทั้ง

หลายในทางทรงวินัย

ท่านปฏาจาราแม้ว่าจะได้บำเพ็ญบารมีที่จะบรรลุพระอรหันต์ในชาตินั้นพร้อมกับผู้เลิศ

ทางทรงวินัยด้วย แต่ก็ยังได้ทำสิ่งที่เป็นข้อห้ามของสังคมในสมัยนั้น คือ หนีไปกับคน

งานที่มีวรรณะต่ำกว่า เพราะฉะนั้นจึงเห็นได้ว่า ถ้ายังไม่ได้ดับกิเลสหมดเป็นสมุจเฉท

เมื่อมีเหตุปัจจัยที่เหมาะสม ก็สามารถทำสิ่งที่ไม่สมควรได้ เหมือนเชื้อราที่ล่องลอยอยู่

ในอากาศ เมื่อมีความชื้นและอุณหภูมิที่เหมาะสม ก็สามารถงอกงามได้ตามเสื้อผ้า

อาหาร ดังนั้นทำให้ได้คิดสอนตัวเองว่า ทุกคนสะสมทั้งกุศลและอกุศล เมื่อเห็นใครทำ

อะไรผิดพลาด ก็อย่าไปดูถูกดูแคลน เพราะถ้าเราเป็นเขา อยู่ในสถานการณ์เดียวกัน

อาจจะทำอย่างเขาหรือยิ่งกว่าก็ได้ และถ้าผิดพลาดไปแล้ว หันกลับมาประพฤติปฏิบัติ

ในทางที่ถูกต้อง ก็อาจจะบรรลุเป็นพระอริยบุคคลก็ได้

เมื่อสนทนาธรรมจบ ท่านอาจารย์ได้นำเวียนเทียนประทักษิณรอบพระคันธกุฎี ๓ รอบ

ฟ้าเริ่มมืดแล้ว พอดีวันนี้เป็นวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๒ พระจันทร์จึงแจ่มกระจ่างสวยงาม

มาก เห็นชาวศรีลังกาหลายสิบคนช่วยกันปักเทียนรอบๆ พระวิหารเชตวัน ทั้งที่

ธรรมสภา และรอบๆ พระคันธกุฎี รอบริมทางเดิน แล้วช่วยกันจุดเทียนเมื่อพลบค่ำ เมื่อ

จะออกจากพระวิหาร มองย้อนกลับไปดู เห็นแสงเทียนสว่างไสว ดุจพระธรรมของพระผู้

มีพระภาคที่ท่านอาจารย์นำมาเผยแพร่ให้พวกเราได้รู้ ได้เห็นในความมืดของอวิชชา

เห็นได้ชัดหรือไม่ชัด ก็ขึ้นอยู่กับการสะสมปัญญาของแต่ละคน


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
panasda
วันที่ 31 ธ.ค. 2552

ขอขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 31 ธ.ค. 2552

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
aditap
วันที่ 31 ธ.ค. 2552
ขออนุโมทนาด้วยคับ
 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
วิริยะ
วันที่ 31 ธ.ค. 2552

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
พุทธรักษา
วันที่ 1 ม.ค. 2553

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
paew_int
วันที่ 1 ม.ค. 2553
ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
jangthi
วันที่ 1 ม.ค. 2553

ขอขอบคุณและอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
standardluk
วันที่ 2 ม.ค. 2553

แสงเทียนแม้น้อยย่อมนำความส่วางมาให้

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
pondhip
วันที่ 8 ม.ค. 2553

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
guy
วันที่ 25 มี.ค. 2554

ขออนุโมทนาด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
chookasem
วันที่ 28 มี.ค. 2554

ขอบคุณ และ ขออนุโมทนา ด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
Thita
วันที่ 11 ส.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นด้วยเศียรเกล้า

ดีใจที่มีโอกาสเข้ามาเจอเวบไซด์นี้นะคะ มีหลายๆ อย่างที่ได้รับรู้และกระจ่างที่นี่

ปลื้มปิติ ทุกครั้งที่ได้อ่าน ได้เห็นภาพ ได้รับรู้เรื่องราวพุทธประวัติเกียวกับพระศาสดา รวม

ทั้งอริยสาวก ส่วนตัวยังไม่เคยไปอินเดีย แต่มีแผนจะไปธันวาคม นี้

ขออนุโมทนา และขอบพระคุณผู้เขียนค่ะ.

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ