๔ วันในพุทธคยา๔

 
kanchana.c
วันที่  20 มี.ค. 2553
หมายเลข  15770
อ่าน  4,268

วันฉลอง

วันที่ ๓ ของการเดินทาง ตรงกับวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ วันนี้มีโปรแกรมไปชมบ้านนางสุชาดา ทำบุญฉลองชัยศรีวิหาร และร่วมสัมมนาในโอกาสครบรอบ ๑ปี ที่ สมาคมมหาโพธิ์ในตอนบ่าย

เราตื่นตามเวลาปลุกคือ ๖ โมงเช้า รีบเตรียมจัดของที่จะถวายพระใส่ลงย่ามที่ได้รับแจกจากพี่ดวงเดือนที่มูลนิธิ ตอนจัดของที่ซื้อมาถวายพระลงกระเป๋านั้น ได้เกือบ เต็ม โดยที่ยังไม่บรรจุเสื้อผ้าเลย จึงต้องเอาของออกไปบ้าง แต่ก็ยังนึกปลาบปลื้มใจที่ นำของมาถวายสำหรับตนเอง และยังเผื่อท่านอื่นๆ อีกด้วย แต่เมื่อลงมาที่ล๊อบบี้ เห็น ของที่คณะเตรียมมาถวายพระ เป็นกล่องใหญ่ๆ หลายกล่องเต็มไปหมด ท่านเหล่านี้มี กุศลจิตมากมายจริงๆ ต้องขออนุโมทนาแต่เช้าเลยค่ะ (ที่อนุโมทนาบ่อยๆ เพราะการ อนุโมทนาในกุศลของบุคคลอื่น ซึ่งเป็นกุศลอย่างหนึ่งในทางเกิดของกุศล ๑๐ ประการ และคิดว่าการอนุโมทนานี้เป็นกุศลที่ทำง่ายที่สุด เพียงแต่อาศัยจิตที่เลื่อมใสศรัทธาใน กุศลจิตของคนอื่น ก็เป็นกุศลแล้ว) พวกเรานั่งรถบัสจากโรงแรมไปตามเส้นทางเมื่อวานนี้ ข้ามสะพานที่ญี่ปุ่นสร้างเพื่อให้การเดินทางสะดวกขึ้น และรถก็จอดที่เชิงสะพาน กลางถนน (เท่าที่สังเกตดู ที่เมืองนี้ รถจะจอดตรงไหนก็ได้) ให้เราเข้าไปยังบ้านนางสุชาดา ผู้ถวายข้าวมธุปายาส ในวันตรัสรู้ ในการเดินวันนี้ เราระมัดระวังตัวมากเป็น พิเศษ ไม่อยากเหยียบกับระเบิดอีก แต่ก็ไม่พบกับระเบิด มีแต่เด็กๆ ที่คงบอกกันไปทั่ว หมู่บ้านว่า คณะมหาราชา มหารานีมาแล้ว จึงวิ่งตามล้อมหน้าล้อมหลัง ขอเงิน อย่างเคย

เมื่อดูบ้านนางสุชาดาซึ่งเป็นคฤหบดีของหมู่บ้านนี้ในครั้งนั้น บ้านของท่านที่เห็นเป็นซากอิฐเก่าๆ บนมูลดิน คราวนี้ดูอย่างคร่าวๆ ไม่ได้ขึ้นไปดูบนมูลดินที่เห็น มาครั้ง ก่อนไกด์ท้องถิ่นพาปีนขึ้นไปดูข้างบนด้วย คุณสุวัฒคงเห็นว่าไม่มีอะไร จึงยืนอธิบาย อยู่ข้างล่าง แล้วก็พาเดินไปดู ที่พระผู้มีพระภาคทรงลอยถาดริมแม่น้ำเนรัญชรา ต้อง เดินบนคันดินผ่านสวนผักของชาวบ้าน เห็นมะเขือม่วงลูกใหญ่ดกเต็มต้น และผักอื่นๆ อีกหลายอย่างที่เจริญงอกงาม เพราะปุ๋ยอินทรีย์ที่ใส่กันทุกวัน และคงวันละหลายครั้ง ด้วย ไม่ทิ้งไปไปให้เปล่าประโยชน์เหมือนเมืองไทย ดูท่าเศรษฐกิจของหมู่บ้านคงจะดี พอสมควร แต่ก็ยังมีเด็กมาขอเงินอยู่มากมาย คงเป็นธรรมเนียมปกติใน เรื่องการขอ

มองจากที่พระผู้มีพระภาคทรงลอยถาดริมแม่น้ำเนรัญชรา ไปยังฝั่งตรงข้าม จะเห็นเจดีย์พุทธคยาสวยงาม แม่น้ำเนรัญชรานั้นกว้างใหญ่กว่าแม่น้ำเจ้าพระยา น้ำตอนนี้ เกือบแห้ง แต่ยังพอเห็นน้ำใสแจ๋วจนเห็นพื้นทรายเบื้องล่างไหลเอื่อยๆ น่าลงไปเดิน ท่องน้ำเล่น แต่ได้ข่าวมาว่า มีกับระเบิดตามริมตลิ่ง จึงได้แต่มองแม่น้ำและจินตนาการ ถึงคืนวันเพ็ญเดือนวิสาขะ ที่ทรงบรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ที่โคนต้นพระศรี- มหาโพธิ์ฝั่งตรงข้าม พุทธะเกิดขึ้นในแล้วในโลกเมื่อกว่า ๒๕๐๐ ปีมาแล้ว มีความรู้สึก ปลื้มปีติที่ได้มาเห็นสถานที่ อันเป็นมงคลยิ่งในโลกเช่นนี้ พระพุทธคุณแผ่ไปทั่วทำให้ สถานนี้สงบร่มเย็นท่ามกลางความเดือดร้อนยากจนของผู้คน และความสกปรกรกรุงรัง ของสถานที่รอบข้าง

มาครั้งนี้เห็นตึกเล็กๆ ที่สร้างขึ้นใหม่ เพื่อบอกว่าเป็นสถานที่ลอยถาด ชาวฮินดูสร้างขึ้นเพื่อให้ชาวพุทธทำบุญอีกตามเคย มีเด็กขอทานมากมายมารุมล้อม เห็นชาว อินเดีย ที่ติดตามมาจากสมาคมมหาโพธิ์ แนะนำตัวเองกับสามีว่าชื่อ สหาย มาคอย กำกับเด็กขอทานเหล่านี้ สหายบอกว่า นางสุชาดาถวายข้าวมธุปายาสแด่พระโพธิสัตว์ จนทรงมีพระกำลังเดินข้ามแม่น้ำไปยังโคนต้นพระศรีมหาโพธิ์ และตรัสรู้ในคืนนั้น เด็ก พวกนี้ก็อดอยากหิวโหย ทำไมจึงไม่ให้ทานแก่เด็กเหล่านี้บ้าง และเสนอให้แลกเงิน เหรียญถุงละ ๑๐๐ รูปีเพื่อแจกเด็ก และรับอาสาจะแจกให้เองเมื่อเราแลกเงินแล้ว เขา บอกว่า ถ้าเราแจกจะถูกรุม แต่เขาสามารถแจกได้อย่างปลอดภัย สามีจึงตกลงแลกเงิน ๒๐๐ รูปีให้สหายแจกเด็กๆ ดูแล้วเห็นว่าไม่ทั่วถึง จึงแลกอีก ๓๐๐ รูปี แล้วแจกเอง โดย ขึ้นไปยืนบนรถแล้วโปรยลงมาจากประตูรถ สามีเล่าว่า เห็นเด็กๆ มาเก็บเงินก็รู้สึกดีใจที่ ได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ที่ตกยากแม้เพียงเล็กน้อยแค่อาหารมื้อหนึ่งก็ยังดี ถ้าไม่ให้ก็ คงจะเสียใจที่ให้ความกลัวถูกรุมมากั้นกุศลในการทำทาน ขณะนี้มีทั้งของที่จะให้ มีทั้ง คนขอ มีทั้งความสงสาร โอกาสที่จะเห็นคนเหล่านี้จะมีอีกหรือไม่ก็ไม่ทราบได้ เพราะถ้า ไปคราวหน้าก็คงจะเป็นคนพวกใหม่ อาจจะพบกันครั้งเดียวในสังสารวัฏก็ได้ ดิฉันก็ได้ แต่อนุโมทนาในกุศลจิตของเขา เพราะลำพังตัวเองเรื่องแจกเด็กๆ ที่ไม่รู้จักพอเหล่านี้ ไม่ใช่อัธยาศัยของดิฉันเลย ถ้าแจกเป็นเรื่องเป็นราวก็ไปอีกอย่างหนึ่ง ดิฉันจึงไม่ได้ แจกเลยจนถึงบัดนี้ หรือความตระหนี่จะหาเหตุผลให้ตัวเองไม่ต้องให้ และดูดีด้วยอีก ต่างหาก

เมื่อได้เวลาสมควร จึงเดินทางกลับไปที่สมาคมมหาโพธิ์เพื่อเตรียมถวายเพล รถจอดไกลจากสมาคมพอสมควร ทำให้ได้เดินดูสินค้าที่วางขายอยู่ข้างทาง ส่วนมาก เป็นหินปลอมสีฉูดฉาด ไม่น่าสนใจอะไร เลยไม่ต้องเสียเงินซื้อของฝาก เพราะดูแล้วที่เมืองไทยสวยกว่า ตอนนี้ยังมีเวลาเหลืออีกมาก เราไม่ต้องเตรียมของถวายพระ เพราะ เป็นของใช้ ไม่ใช่อาหาร จึงเดินไปที่พระเจดีย์อีกครั้ง ดีจริงๆ ที่ได้อยู่หลายวัน ทำให้ เห็นบรรยายกาศของเจดีย์พุทธคยาทั้งในยามเช้า ยามบ่าย ย่ามเย็น และกลางคืน ในตอนสายเช่นนี้ มีคนน้อยกว่าเวลาอื่น เราเลือกเดินประทักษิณบนทางเดินบนสุด เพื่อจะได้เห็นภูมิทัศน์ที่แตกต่างกันไป อากาศตอนนี้ก็ยังเย็นอยู่ เมื่อเดินเท้า เปล่าบนพื้นหินที่เย็นอย่างนั้น รู้สึกเย็นเยือก แต่ก็เป็นบรรยากาศที่แปลกไป เพราะอยู่ เมืองไทยคงไม่มีโอกาสอย่างนี้ เห็นดอกรักเร่ดอกใหญ่ สีสดปลูกอยู่ทั่วไป มีกุหลาบ บ้างประปราย แต่ดูเหมือนไม่ตั้งใจปลูก เพราะไม่เป็นระเบียบสวยงามอย่างที่ควรจะเป็น อดคิดไม่ได้ว่า ถ้ามีโอกาสมาจัดสวนที่นี่ ให้สวยงามถวายเป็น พุทธบูชาก็คงจะ ดี แต่ก็คงเป็นแค่ความคิด เพราะไม่มีฝีมือในด้านนี้ แม้บ้านตัวเองก็ยังปล่อยปละ ละเลย ปล่อยให้สนามหญ้ารกอยู่บ่อยๆ ถ้าท่านผู้ใดมีความคิดเหมือนกัน ก็ขอร่วม ปัจจัยด้วยค่ะ และนอกจากนั้นก็ยังอยากได้ไม้กวาดสักอัน เพื่อกวาดฝุ่นละอองรอบ องค์พระเจดีย์ทุกชั้นให้สะอาดเพื่อเป็นพุทธบูชาเช่นกัน จะมีโอกาสไหมนะ?

เมื่อเดินรอบแล้ว ก็กลับไปที่สมาคม เห็นคนหลายชาติยืนเข้าแถวยาวจนถึงถนน ด้านหน้าสมาคมเพื่อนมัสการพระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุพระอัครสาวกทั้งสอง เราจึงไปเข้าแถวด้วย ได้ยินเสียงสวดมนต์เป็นภาษาบาลีจากซีดีที่เปิดตลอดเวลา ได้ยิน ประโยคว่า “ ….อปฺปิเยหิ สมฺปโยโค ทุกฺโข ปิเยหิ วิปฺปโยโค ทุกฺโข ... ” ซึ่งพอแปลได้ ว่า . ..ประสบสิ่งที่ไม่เป็นที่รักเป็นทุกข์ พลัดพรากจากสิ่งที่รักก็เป็นทุกข์ ... ซึ่งผู้รู้ภาษา บาลีคนใกล้ชิดบอกว่า นี่คือธรรมจักรกัปปวัตตนสูตร รู้สึกเพราะมาก เมื่อมีโอกาสจึง ถามพระภิกษุที่นั่งในสมาคม ปรากฏว่ามีขายแผ่นละ ๕๐ รูปี จึงซื้อเป็นชุด แผ่นที่เปิดนี้ มีสวดธรรมจักร มงคลสูตร อกุศลกรรมบถ ๑๐ กุศลกรรมบถ ๑๐ และมีพุทธภาษิตที่อ่าน โดยพระภิกษุไทย เมื่อมาถึงกรุงเทพ ได้อัด (พระท่านอนุญาต มีผู้ถามแล้ว) แจกสหาย ธรรมที่มูลนิธิฯ หลายท่านเป็นของฝาก คิดว่าถ้าให้อาจารย์ฉัตรชัยลง website ก็คงดีเข้าแถวกลางแดดอยู่นาน ยังไม่ได้เข้ากราบนมัสการสักที เลยออกจากแถวไปที่ชัยศรี วิหารที่จะฉลองครบ ๑ ปีในวันนี้ ได้ยินคำว่า “วิหาร” วาดภาพไว้ว่า คงจะเป็นสิ่งก่อ สร้างที่สวยงาม หลังคามุงกระเบื้องมียอดแหลม พื้นปูหินอ่อน แต่วิหารที่นี่เป็นเหมือน ประรำพิธีที่สร้างขึ้นชั่วคราว เป็นโรงโล่งๆ มีเวทีอยู่ข้างหน้า

วันนี้ตั้งโต๊ะ เก้าอี้ เพื่อเลี้ยงภัตตาหารแก่พระภิกษุนานาชาติจำนวน ๑๒๐ รูป บนโต๊ะมีจาน น้ำขวด แก้วน้ำวางอยู่ พวกเราหลายคนเข้าไปนั่ง มีอีกหลายคนจัดเตรียม อาหารที่นำมาจากกรุงเทพ เห็นคุณมานิตย์ และคุณจันทนีจัดอาหารอยู่ จึงได้ทราบว่า เธอเลือกอาหารที่อร่อยที่สุดจากเยาวราชสำเพ็งมา ๑ กระเป๋า เพื่อทำบุญในวันนี้ ช่าง อุตสาหะจริงๆ มีอีกหลายกลุ่มแจกของที่ตนเองเตรียมมาเผื่อคนอื่นๆ เพื่อใส่ย่ามถวาย พระ ล้วนแต่เป็นของที่มีประโยชน์ทั้งนั้น ขออนุโมทนากับทุกท่าน (บางทีก็สงสัยตัว เองเหมือนกันว่า เป็นกุศลจิตที่อนุโมทนาจริงๆ หรือเป็นโลภะที่อยากได้กุศลจากการ อนุโมทนา)

เมื่อเห็นคนเข้าแถวซาลงแล้ว จึงได้ไปต่อแถว เพื่อนมัสการพระบรมสารีริกธาตุอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้พอถึงแล้ว พระท่านก็ปิดประตู เราจึงเป็นกลุ่มสุดท้ายที่ได้เข้าไป นมัสการ ได้เห็นองค์พระบรมสารีริกธาตุไม่ชัดเจน จึงเดินนมัสการอีกรอบหนึ่ง จึงพอ เห็นบ้าง แต่ก็จำไม่ได้ เห็นจากภาพที่มีผู้ถ่ายมาแล้วนำขึ้นเว็บไซต์ ชัดกว่า ขอบคุณ ตากล้องทั้งหลายค่ะ

ถึงเวลาถวายสังฆทาน คนใกล้ชิดทำหน้าที่นำกล่าวคำถวายอาหารและของบริวารทั้งหลาย (ในย่าม) เป็นของสงฆ์ โดยมีตัวแทนพระสงฆ์จากชาติต่างๆ มี ศรีลังกา ไทย ภูฐาน อินเดีย ญี่ปุ่น นอกนั้นเดาไม่ได้ว่าเป็นพระสงฆ์ชาติใด นั่งอยู่โต๊ะหน้าสุด คอยรับ ประเคนอาหารจากคณะ ส่วนพระสงฆ์รูปอื่นๆ ก็เดินเข้าแถวเพื่อรับอาหารที่พวกเรายืน ประจำภาชนะใส่อาหารที่สั่งให้ทางสมาคมจัดทำตักถวาย ดูแปลกจากพิธีในเมืองไทย บ้าง เพราะถ้าเป็นในเมืองไทย พระสงฆ์จะนั่งอยู่กับที่ โยมเป็นฝ่ายที่ต้องเดินถวายของ เรื่องพิธีการต่างกัน คงไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่ากับศรัทธาของพวกเรา ที่ได้ถวายสังฆทาน เป็นพุทธบูชาในการฉลองพิธีถวายผอบเจดีย์ทองคำครั้งยิ่งใหญ่นี้

เมื่อพระฉันภัตตาหารและถวายย่ามซึ่งประกอบด้วยสบงจีวร และของใช้ที่จำเป็นตามแต่ใครจะใส่ลงในย่ามแล้ว มีพระบางองค์ไม่ได้ย่าม ทั้งๆ ที่มีย่ามเหลือ และคนก็ พยายามถวายให้ครบทุกองค์ พระสงฆ์ไทยองค์หนึ่งนั่งอยู่ด้านหน้า ตัวท่านก็สูงใหญ่ แต่คนก็ไม่เห็น คิดว่าท่านได้แล้ว จนพระที่นั่งติดกับท่าน ต้องบอกว่า องค์นี้ยังไม่ได้ เราจึงได้ถวาย และมีพระองค์อื่นๆ ก็เป็นเช่นนี้อีกหลายองค์ บางองค์ก็ได้หลายครั้ง ถ้า เป็นพระไทยท่านบอกได้ แต่พระชาติอื่นไม่ทราบว่ามีคนบอกหรือไม่ ก็คงปล่อยไปตาม เหตุปัจจัย พวกเราก็พยายามให้ทั่วถึงแล้ว

มีเรื่องแปลกแต่จริง ขณะที่ดูแลพระที่นั่งเป็นประธานอยู่ข้างหน้า เห็นพระภูฐานใส่แหวนทองและใส่นาฬิกาโรเล็กซ์ฝังเพชร เราคงมองอย่างตื่นตะลึง ดูหน้าท่านก็อิ่มเอิบ ว่าเราสนใจนาฬิกาของท่าน เพราะท่านกระดิกนิ้วที่ใส่แหวนด้วย (อันนี้คิดเองตามจิน- ตนาการ ไม่ทราบว่าท่านคิดอย่างไร) แต่พระพุทธศาสนาก็แยกออกไปเป็นหลายนิกาย คงไม่ผิดศีลในนิกายของท่าน แต่ก็แปลกใจที่ประเทศนี้ เท่าที่ทราบไม่ใช่วัตถุนิยม เพราะวัดความเจริญของประเทศด้วยความสุขมวลรวมประชาชาติ ไม่ใช่ผลผลิตมวล รวม หรือเราจะเข้าใจอะไรผิด ไม่เข้าใจว่าดัชนีชี้วัดความสุขอาจจะเป็นการประดับตบ แต่งร่างกายด้วยเครื่องประดับมีค่า หรืออาจจะเป็นความตื่นตะลึงของผู้พบเห็นก็ได้เมื่อ พิธีสงฆ์เสร็จเรียบร้อย พวกเราก็ขึ้นรถกลับไปรับประทานอาหารเที่ยงที่โรงแรมก่อน- ทานข้าวได้เตือนตัวเอง และคนใกล้ชิดล้างมือให้สะอาด เมื่อเข้าห้องน้ำ ได้ยินเสียง นางฟ้าผู้อารีของเราบอกกับพรรคพวกว่า พอเดินเข้าไปในห้องอาหาร มีคนพูดว่า “มา แล้ว กลุ่มคนหยาบ” ดูท่าทางเธอคงจะหงุดหงิดอยู่ พรรคพวกก็ถามว่าใคร เธอบอกว่า อย่าไปรู้เลย ดิฉันจึงปลอบเธอไปว่า “อย่าคิดมากเลยค่ะ คำพูดบอกจิตใจของคน ถ้า จิตเป็นกุศลก็พูดดี จิตเป็นอกุศลก็พูดไม่ดี” แต่ท่าทางเธอและพรรคพวกไม่สนใจ ยัง อภิปรายกันเองต่อไป

ดิฉันได้แต่นึกในใจว่า บางท่านแม้จะสนใจศึกษาพระธรรมก็จริง แต่ก็เป็นเพียงผู้เริ่มต้นจะเข้าใจหนทาง ยังไม่ใช่ผู้เดินตามมรรคมีองค์ ๘ ยังไม่ใช่ผู้มี ปกติเจริญสติปัฏฐาน ทุกคนยังมีกิเลสมากมายเหมือนเดิม ยังไม่ใช่กัลยาณปุถุชน เป็น เพียงปุถุชน ผู้ที่ยังหยาบหนาด้วยกิเลสเหมือนกัน เพียงเริ่มสนใจศึกษาหนทางไปสู่ ทางขัดเกลากิเลส หลายคนรวมทั้งดิฉันด้วยยังไม่ได้ขัดเกลา เพียงพยายามจะขัด เกลา ดังนั้นจึงมีทั้งกุศล และอกุศล และตามความเป็นจริงย่อมมีอกุศลมากกว่ากุศล เพียงแค่รู้ว่าขณะไหนเป็นอกุศล ขณะไหนเป็นกุศลก็ประเสริฐแล้ว เมื่อมีมานะ ความถือ ตัวว่า ดีกว่า สูงกว่า ละเอียดกว่าคนอื่น มานะนั้นก็ต้องทำกิจของมานะ คือ ถ้ามีไม่มาก ก็เพียงแสดงออกทางกาย เช่น มองด้วยหางตา หรือมองหัวจรดเท้า แต่ถ้ามีมากกว่านั้น ก็แสดงออกทางวาจา มานะเป็นอกุศล ทุกคนยังมีมานะ เราก็มี เขาก็มี แต่เหตุปัจจัยที่ เหมาะสมทำให้มานะเกิดกับใคร จนต้องแสดงออกกายทางวาจานั้นเลือกไม่ได้ ถ้าคิด ตามความเป็นจริงว่า เราก็มีมานะเหมือนกัน และเราก็เคยแสดงออกทางกายวาจาอย่าง นั้นเหมือนกัน ก็จะเห็นว่า มานะเป็นเพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ที่เกิดกับใครก็จะทำกิจ หน้าที่แบ่งแยกเป็นพวกนั้น พวกนี้ อย่างนี้เหมือนกัน ก็จะไม่โกรธใคร เพราะไม่มีสัตว์ ตัวตน บุคคลที่จะโกรธ เสียงที่ได้ยินนั้นก็ดับไปแล้ว ไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏ ถ้า เสียงนั้นพูดว่า “มาแล้ว กลุ่มคนใจดี” สภาพจิตของคนฟังก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง ทั้งๆ ที่ เป็นเสียงเหมือนกัน แต่เมื่อได้ยินแล้ว ความคิดนึกก็ต่างออกไปตามสัญญาความจำ ความหมายของเสียง

ถ้าพูดด้วยภาษาที่ไม่เข้าใจ ก็จะไม่โกรธหรือดีใจเลย เพราะไม่ มีสัญญาความจำในเสียงนั้น จริงไหมคะ ถ้าดิฉันประจักษ์แจ้งจริงๆ อย่างที่เขียนก็ดีนะ คะ แต่นี่เพียงจำมาจากคำสอนของท่านอาจารย์ค่ะ ซึ่งความจำนี้ก็สั้นมาก เพราะเป็น การฝืนความเคยชินที่เคยจำว่า ทุกอย่างเที่ยง ทุกอย่างเป็นสุข ทุกอย่างเป็นตัวตน ทุกอย่างงาม มาเนิ่นนานจนหาจุดเริ่มต้นไม่ได้ จึงต้องฟังแล้วฟังอีก พิจารณาแล้ว พิจารณาอีก ระลึกแล้วระลึกอีก จนกว่าจะมีกำลังทวนกระแสของความเคยชิน และ ประจักษ์ว่า ทุกอย่างไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน กราบเท้าท่านอาจารย์มาด้วยความ เคารพอีกครั้งค่ะ (และยังต้องกราบไปเรื่อยๆ เพราะว่าคำสอนของท่านที่นำมาจากพระ ไตรปิฎก และย่อยให้เข้าใจง่ายขึ้น ทำให้คิดอย่างมีเหตุผลตามความเป็นจริงมากขึ้น) ขนาดเป็นเพียงความจำสั้นๆ แต่เป็นความคิดถูก ความเห็นถูก ก็ยังทำให้ความทุกข์ใจ น้อยลงจริงๆ ค่ะ

เมื่อรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ ก็เดินทางกลับไปที่สมาคมมหาโพธิ์อีกครั้งเพื่อร่วมสัมมนา ในพิธีฉลองการเปิดชัยศรีวิหารครบ ๑ ปี (ซึ่งได้ทราบว่า ความจริงวัน ครบรอบคือ วันที่ ๓ ก.พ. แต่พวกเรากลับแล้ว จึงเลื่อนมาเป็นวันนี้) นั่งคอยเวลากันพัก ใหญ่ พิธีจึงเริ่มขึ้น รายละเอียดดิฉันจำไม่ค่อยได้ เพราะนั่งด้านหลัง ไม่เห็นอะไร

มีพิธีกรเชิญพระภิกษุชาวศรีลังกาและท่านอาจารย์จุดเทียนเพื่อเปิดงาน (ใครทราบรายละเอียดช่วยบอกด้วย) และมีการกล่าวสุนทรพจน์จากผู้แทนชาวพุทธกลุ่ม ต่างๆ

ทางมูลนิธิศึกษา และเผยแพร่พระพุทธศาสนามีหม่อมบงกชปริยา ยุคล (หม่อมเบตตี้) เป็นตัวแทน

ในระหว่างพักเด็กนักเรียนหญิงชาวอินเดียมาร้องเพลงประกอบดนตรี ซึ่งเนื้อเพลงนั้นมาจากพระสูตร ได้ยินว่าเป็นเรื่องที่พระนางยโสธราตรัสเมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จไป โปรดพระญาติ เสียงเด็กใส เพราะมาก ได้ทราบภายหลังที่มูลนิธิว่า คุณวีระยุทธ์ได้ให้ รางวัลไป ๒๐๐๐ รูปี เสียดายที่เพิ่งทราบเมื่อกลับมาแล้ว จึงไม่ได้ร่วมด้วย แต่ขอมีส่วน ในกุศล ด้วยการอนุโมทนาค่ะ (ง่ายดีไหมคะ) ในการกล่าวสุนทรพจน์ครั้งนี้ มีตัวแทน จากประเทศภูฐาน และศรีลังกาซึ่งมีคณะญาติโยมจำนวนมากประมาณ ๑๕๐ คนมาร่วม พิธีด้วย

เสร็จพิธีต่างก็พากันเดินไปที่เจดีย์เพื่อสนทนาธรรมที่บริเวณใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ เดินออกมาจากสมาคมเห็นเด็กๆ นั่งเป็นแถวยาวริมถนน มีใบตองปูตามพื้นข้างหน้าบ้าง มีจานวางบ้าง เพื่อรอรับอาหารที่สมาคมนำมาเลี้ยงเด็ก รู้สึกว่าเด็กอยู่ในระเบียบดีกว่า ตอนมาขอพวกเรา คิดว่าถ้าจะให้ทานควรเป็นแบบนี้ คือให้เงินทางสมาคมทำอาหารมา แจกเด็กให้เห็นๆ อย่างนี้ แต่ก็เป็นแต่เพียงความคิด ไม่ได้บริจาคอีกเช่นเคยตอนเย็น บริเวณพระเจดีย์มีผู้คนมากมายเดินกันขวักไขว่ ไม่เงียบสงบเหมือนเมื่อเช้า เห็นพรรค พวกบางคนซื้อดอกไม้ใส่จานพลาสติกไปบูชาพระเจดีย์ เมื่อเห็นเราก็จะซื้อให้ด้วย ซึ่ง ต้องขออนุญาตซื้อเอง เพราะวันๆ ได้แต่อนุโมทนาในกุศลจิตของคนอื่น ไม่ค่อยได้ทำ กุศลเองเลย

เมื่อบูชาด้วยดอกไม้แล้ว เห็นคุณอรรณพเตรียมปูผ้าสำหรับนั่งสนทนาธรรม และเปิดเทปคำบรรยายของท่านอาจารย์ด้วย เราเลยไปยืนชื่นชมความงามของพระเจดีย์ ในมุมต่างๆ พร้อมกับฟังธรรมไปด้วย รู้สึกได้อรรถรสดีมาก แต่ตอนนี้ก็ลืมไปแล้วว่า ท่านอาจารย์บรรยายเรื่องอะไร อากาศเย็นลงอย่างรวดเร็ว พร้อมกับฟ้าที่เริ่มมืด ในที่ สุดก็ไม่มีการสนทนาธรรม (อาจเป็นเพราะอากาศหนาวเย็น ไม่เหมาะที่จะนั่งกลางแจ้ง และพื้นหินนั้นก็เย็นมากเช่นกัน ได้ยินมาว่า คุณลุงนิภัทรหนาวจนสั่น ในการสนทนา ธรรมเมื่อเย็นวันก่อน) มีแต่เวียนเทียนประทักษิณพระเจดีย์แทน โดยพระภิกษุศรีลังกา จากสมาคมมหาโพธิ์ ๕ รูป เป็นผู้นำสวดธรรมจักรกัปปวัตนสูตร ด้วยเสียงที่ไพเราะ ใต้ ต้นพระศรีมหาโพธิ์ หลังจากนั้นก็เริ่มเวียนเทียน เราก็ยังงงอยู่ว่า จะเอาเทียนที่ไหน ปรากฏว่ามีนางฟ้าผู้ใจดี (ได้ทราบว่า ท่าน คือ คุณแก้วตา ผู้งามทั้งกาย และใจ) จัด เตรียมเชิงเทียนพร้อมครอบแก้วอย่างสวยงามจากกรุงเทพมาแจก และมีมือของนางฟ้า หลายคนจุดเทียนและส่งต่อให้พวกเราทุกคน เมื่อเริ่มต้นเวียนเทียนโดยมีพระภิกษุศรี ลังกาเดินนำ มีท่านอาจารย์เดินตามเป็นคนแรก พร้อมกับเสียงสวดสรรเสริญพระรัตน- ตรัย มีเสียง “สาธุการ สาธุการ” จากชาวศรีลังกาที่มาร่วมพิธีที่สมาคมมหาโพธิ์แสดง ความชื่นชมยินดีในกุศลนี้

เมื่อเวียนประทักษิณครบ ๓ รอบ แล้วก็นำเทียนไปวางที่ชั้นบนสุดของบริเวณเจดีย์ แสงเทียนนับร้อยที่นำมาวางไว้ด้วยกัน สวยงามมากจริงๆ เมื่อมองไปทางเจดีย์ที่สว่าง ด้วยแสงไฟ เป็นภาพที่ประทับใจมาก ดีใจเหลือเกินที่ครั้งหนึ่งในสังสารวัฏได้มากราบ นมัสการต้นพระศรีมหาโพธิ์ สถานที่ตรัสรู้ ได้ทราบมาว่า พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทั้งใน อดีตและอนาคตจะประสูติ ตรัสรู้ แสดงปฐมเทศนา และปรินิพพานในที่เดียวกันในโลก นี้ (ถ้าเขียนผิดบอกด้วยค่ะ)

คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายในเมืองคยาเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่งในรัฐพิหาร ซึ่งเป็นรัฐที่ยากจนที่สุดของอินเดีย แม้ว่าจะเป็นเมืองสกปรก มีขยะ มีขอทาน มีกับระเบิดเกือบทุกแห่ง แต่พระศรีมหาโพธิ์ และเจดีย์พุทธคยานั้นสวยเด่นเหมือนดอกบัวเกิดจากตม และสง่า งามดุจประสาทในสลัม ความประทับใจ ความปีติซาบซึ้งในพระพุทธคุณก็มีมากจน มองข้ามสิ่งไม่ดีต่างๆ เหล่านี้ โดยเห็นเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อมีอกุศลกรรม ก็ต้องมี อกุศลวิบากให้ได้รับผลทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เห็นขยะบ้าง ได้ กลิ่นเหม็นบ้าง ซึ่งก็เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เมื่อมีเหตุปัจจัย ที่เหมาะสมถึงอยู่กรุงเทพ ก็ยังเห็นขยะ ได้กลิ่นเหม็นเหมือนกัน ดังนั้น เมื่อกราบพระที่ หมอนก่อนนอนในคืนนี้ เลยอธิษฐานว่า ขอให้มีโอกาสมากราบนมัสการต้นพระศรีมหา โพธิ์ สถานที่ตรัสรู้ ณ พุทธคยาแห่งนี้ อีกหลายๆ ครั้งเท่าที่จะทำได้


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
saifon.p
วันที่ 24 มี.ค. 2553

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
เมตตา
วันที่ 24 มี.ค. 2553

... กราบอนุโมทนาค่ะ ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
จักรกฤษณ์
วันที่ 25 มี.ค. 2553

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
apinya313
วันที่ 1 ธ.ค. 2553
ขอบคุณค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
พรรณี
วันที่ 2 ธ.ค. 2553

ขออนุโมทนาร่วมไปกับคณะที่ได้เดินทางไปสร้างกุศลทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
guy
วันที่ 15 มี.ค. 2554

อนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
คนไทยพบธรรม
วันที่ 5 ส.ค. 2554

ขอบพระคุณมากครับที่นำเรื่องราวดีๆ มาแบ่งปัน อนุโมทนาสาธุ ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
นายเรืองศิลป์
วันที่ 13 ก.พ. 2561

กราบอนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ