ธรรมะ ก่อนพุทธกาล เป็นอย่างไร

 
Bangraka
วันที่  25 ธ.ค. 2554
หมายเลข  20231
อ่าน  8,111

ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นก่อนพุทธกาล ธรรมะเป็นอย่างไร มีเป็นนิทานเล่าให้ฟังไหมครับ พออธิบายขยายความได้ไหมครับ

ขออนุโมทนา


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 25 ธ.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ธรรม คือ สิ่งที่มีอยู่จริง ที่มีลักษณะให้รู้ ธรรมจึงไม่ใช่ความหมายที่เป็นธรรมชาติตามที่เราเข้าใจกัน เช่น ต้นไม้ ภูเขา แม่น้ำ เป็นต้น แต่ธรรมคือสิ่งที่มีอยู่จริง ที่มีลักษณะให้รู้ คือ จิต เจตสิก รูป และพระนิพพาน ดังนั้น สรุปได้ว่า ธรรมคือสิ่งที่มีอยู่จริง ที่เป็นจิต เจตสิก รูป และนิพพานครับ ดังนั้น ธรรมจึงเป็นสัจจะ ความจริง ทุกกาลสมัย ไม่ว่ายุคสมัยใด ก็มีตัวธรรมที่มีอยู่แล้ว คือ จิต เจตสิก รูป และนิพพานครับ

เพียงแต่ว่า ในสมัยที่ว่างจากพระศาสนา คือ พระพุทธเจ้าไม่ได้อุบัติขึ้นในโลก ไม่มีผู้ที่ตรัสรู้ความจริง คือตัวธรรมที่มีอยู่ แต่สัตว์โลกไม่รู้เพราะอวิชชา ไม่มีผู้ที่ตรัสรู้ความจริงที่เป็นแต่เพียง จิต เจตสิก รูป และนิพพาน และไม่มีผู้กล่าวสอนให้ผู้อื่นเข้าใจความจริงที่เป็นธรรม ตามที่กล่าวมา ก็เข้าใจเพียงความคิดของตนเอง ที่ว่าธรรมคือธรรมชาติ เป็นต้นไม้ ภูเขา เป็นต้น อันเป็นความเข้าใจผิด ที่ไม่ตรงในคำว่า ธรรม ที่เป็นสัจจะจริงๆ ครับ

ดังนั้น ยุคที่ว่างจากพระพุทธเจ้า มีแต่ผู้ตรัสรู้ตัวธรรมที่เป็น จิต เจตสิก รูป และพระนิพพาน แต่ไม่สามารถที่จะกล่าวแสดงให้ผู้อื่นเข้าใจได้ นั่นคือ พระปัจเจกพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ธรรมได้ด้วยพระองค์เอง แต่ไม่สามารถกล่าวสอนให้ผู้อื่นเข้าใจได้ครับ

ธรรมในสมัยก่อนพุทธกาลและสมัยปัจจุบัน และสมัยอนาคต ธรรมก็เป็นธรรมที่เป็นสัจจะ ไม่เปลี่ยนแปลง คือ จิต เจตสิก รูป และนิพพานครับ เพียงแต่พระพุทธเจ้าก็ไม่มาเปลี่ยนลักษณะสภาพธรรมเหล่านี้ เพราะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่พระองค์ทรงตรัสรู้ รู้ความจริงเหล่านี้ และมาแสดง กล่าวสอน เปิดเผยให้สัตว์โลกเข้าใจตัวธรรมตามความเป็นจริงครับ

นิทานเล่าเปรียบเทียบมีดังนี้ครับ ในสมัยก่อนที่พระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นในโลก สมัยนั้นมีเสือตัวหนึ่ง มองเห็นกวาง จึงเกิดความอยากที่จะกิน ตั้งใจจะฆ่ากวางตัวนั้น และก็วิ่งจับกวางได้ และฆ่ากวางกินเนื้อ เสือก็ชอบเนื้อกวางและยินดีติดข้องในเนื้อกวางนั้น

สมัยต่อมา เมื่อพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้วในโลก มีเสืออีกตัวหนึ่ง มองเห็นกวางอีกเช่นกัน ก็เกิดความอยากจะกิน ตั้งใจจะฆ่ากวาง จึงวิ่งไล่จับและก็ฆ่ากวางสำเร็จ และก็ยินดีติดข้องในเนื้อกวางนั้น

จากเรื่องเล่าที่ผ่านมา แสดงให้เห็นความเหมือนกัน ของอะไรครับ เสือกับเสือ เสือเป็นธรรมไหม ไม่เป็นครับ เพราะเป็นสิ่งที่สมมติขึ้นจากธรรมที่เป็นสัจจะ ที่เป็นจิต เจตสิก และรูป กวางเหมือนกันไหม ไม่เหมือนกัน คนละตัวและไม่ใช่ธรรม เพราะเป็นสิ่งที่สมมติบัญญัติ จากสิ่งที่มีอยู่จริง ที่เป็น จิต เจตสิก รูป และนิพพาน

ดังนั้น ที่กล่าวข้างต้น ธรรม คือ สิ่งที่มีอยู่จริง คือ จิต เจตสิก รูป และนิพพาน ดังนั้น เรื่องก่อนพุทธกาล ที่เล่า เสือมองเห็น ความจริง ไม่ใช่เสือมองเห็น แต่เป็นจิต ที่ทำหน้าที่เห็น คือจิตเห็น และเรื่องราวในสมัยพระพุทธเจ้าอุบัติ เสือก็มองเห็นกวาง สิ่งที่เหมือนกัน คือตัวธรรม คือจิตเห็น ไม่ใช่เสือเห็น

ดังนั้น สิ่งที่เหมือนกัน ก่อนพุทธกาลและพุทธกาล ในเรื่องนี้ คือ จิตเห็นกับจิตเห็นของเสือ จิตเห็นไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะ ไม่ว่ายุคสมัยใด ก็ทำหน้าที่เห็นเท่านั้นครับ และขณะที่อยากกินกวาง ไม่ว่ายุคสมัยใด ก็เป็นความต้องการติดข้อง ที่เป็นโลภะ ไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะ ไม่ว่าจะยุคก่อนพุทธกาล สมัยพุทธกาล โลภะก็ไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะ คือติดข้องต้องการ ขณะที่ฆ่าสัตว์ ฆ่ากวาง ก็เป็นอกุศลกรรม อกุศลจิต อกุศลจิตก็ไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะ ไม่ว่าจะเกิดในสมัยไหนก็เป็นสภาพธรรมที่ไม่ดี เป็นต้นครับ จะเห็นนะครับว่า จิต เจตสิก รูป และนิพพาน ไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะ ไม่ว่ายุคสมัยใดครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 25 ธ.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ก่อนอื่นควรที่จะเข้าใจว่า ธรรม คือ อะไร? และ พุทธกาล คือ อะไร?

ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง สิ่งที่มีจริงๆ เป็นธรรม ธรรมนั้น ไม่พ้นไปจากสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก จิตเป็นกุศล เป็นอกุศล เป็นวิบาก เป็นกิริยา โดยประมวลแล้วเป็นจิต เจตสิก รูป หรือเป็นนามธรรมกับรูปธรรม เมื่อประมวลให้ย่อที่สุดแล้ว คือ เป็นธรรมหรือเป็นธาตุ เมื่อเป็นธรรม เป็นธาตุ แต่ละอย่างๆ จึงหาความเป็นสัตว์ เป็นบุคคลไม่ได้เลย

คำว่า พุทธกาล หมายถึง กาลสมัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก เป็นกาลสมัยที่มีพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นกาลสมัยที่พระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังดำรงอยู่

ขณะนี้ก็อยู่ในช่วงของพุทธกาล เพราะยังเป็นกาลสมัยที่พระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังดำรงอยู่ อันสืบเนื่องมาจากการทรงตรัสรู้และทรงแสดงพระธรรมของพระองค์ และพระอริยสงฆ์สาวกทั้งหลาย ก็รักษาพระพุทธศาสนานำสืบต่อๆ กันมาจนถึงปัจจุบันนี้

ธรรม เป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง เป็นอนัตตา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ทุกกาลสมัย ธรรมก็เป็นธรรม ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆ ให้เป็นอย่างอื่นไปได้ เป็นจริงอย่างไรก็เป็นจริงอย่างนั้น ไม่ว่าจะเป็นยุคก่อนพุทธกาลหรือสมัยพุทธกาล ถ้าเป็นยุคที่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ เสด็จอุบัติขึ้นในโลก ตรัสรู้ธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริงแล้ว ทรงอนุเคราะห์เกื้อกูลสัตว์โลกให้ได้เข้าใจธรรมตามความเป็นจริง ให้ได้หลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง ทรงแสดงธรรมที่มีจริง ให้สัตว์โลกได้เข้าใจตามความเป็นจริง ด้วยการทรงแสดงพระธรรม ประกาศความจริงให้สัตว์โลกได้เข้าใจถูกเห็นถูก จากที่เต็มไปด้วยความไม่รู้ ก็จะค่อยๆ มีความรู้ที่เจริญขึ้นไปตามลำดับ จนกระทั่งสามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น

แต่ถ้าเป็นยุคก่อนพุทธกาล หรือยุคที่ว่างจากพระพุทธศาสนานั้น ธรรมก็มีจริงไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะเป็นอย่างอื่น แต่ไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นตรัสรู้ตามความเป็นจริง เมื่อไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้น พุทธบริษัทก็ไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริงได้ เพราะไม่มีผู้แสดงให้เข้าใจ แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่ผู้ที่สะสมอบรมบารมีมาเพื่อจะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าก็มีได้ในยุคที่ว่างจากพระพุทธศาสนา สามารถตรัสรู้ธรรมตามความเป็นจริงได้ แต่ก็ไม่มีการแสดงธรรมให้ผู้อื่นได้รู้ตาม

ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นยุคใดสมัยใด ธรรมก็เป็นธรรม มีจริง ซึ่งก็ไม่พ้นไปจากธรรมที่มีจริงในขณะนี้เลย มีจริงทั้งในสมัยพุทธกาลและก่อนพุทธกาล แต่ที่มีการแสดงธรรมให้ผู้อื่นได้เข้าใจตามความเป็นจริงนั้น มีเฉพาะในช่วงพุทธกาลเท่านั้น จึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ที่ได้สะสมเหตุที่ดี คือ ได้สะสมบุญมาตั้งแต่ชาติปางก่อน และได้เกิดมาอยู่ในช่วงที่พระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังดำรงอยู่ที่จะได้ฟัง ได้ศึกษาพระธรรม สะสมปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูก ซึ่งจะเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกตรงตามความเป็นจริงของสภาพธรรม ละคลายความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน สัตว์ บุคคล ละคลายความไม่รู้และอกุศลธรรมทั้งหลาย ต่อไป ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Bangraka
วันที่ 25 ธ.ค. 2554

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
เซจาน้อย
วันที่ 26 ธ.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
pat_jesty
วันที่ 27 ธ.ค. 2554

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
boonpoj
วันที่ 18 เม.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Raphassit
วันที่ 8 ต.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
chatchai.k
วันที่ 22 ม.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
chatchai.k
วันที่ 22 ม.ค. 2564

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

อบรมปัญญาให้เข้าใจความจริง จะเป็นประโยชน์ทั้งชาตินี้ และชาติต่อๆ ไป กุศลที่ทำได้เสมอๆ คือ การฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีคุณค่ามหาศาลสำหรับชีวิตที่ต้องเดินทางต่อไป อีกแสนไกล และกันดาร

ขอเชิญศึกษาพระธรรม ...

รวมลิงก์เมนูต่างๆ ในเว็บไซต์

พระไตรปิฎก

ฟังธรรม

วีดีโอ

ซีดี

หนังสือ

กระดานสนทนา

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ