บุคคลผู้ได้บรรลุมรรคผล ๕ ประเภท

 
dets25226
วันที่  26 ธ.ค. 2554
หมายเลข  20240
อ่าน  11,566

บุคคลผู้ได้มรรคผล ๕ ประเภท

๑. ผู้ได้ข่าว ๒. ผู้เห็นรูป ๓. ผู้ได้ยินเสียง ๔. ผู้ได้เห็นและได้ฟังเสียง ๕. ผู้ลงมือปฏิบัติ

บุคคล ๕ ประเภทนี้ เป็นผู้ที่สามารถบรรลุมรรคผลได้

ผู้ได้ข่าว ได้แก่ นางกาฬี เพียงได้ยินข่าวว่าพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมจักรฯ ก็ใช้ศรัทธาตัดวิจิกิจฉาแล้ว สักกายทิฐิก็ดับลงพร้อมกัน เกิดเป็นพระโสดาบันขึ้นมา พระราชาพระนามว่าภคุนสาติ เพียงได้ยินข่าวว่า "พระพุทธเจ้าทรงประกาศพระศาสนา อยู่ในเมืองราชคฤห์" ก็บรรลุเป็นพระโสดาบัน

ผู้เห็นรูป ได้แก่ พระราชาพระนามว่า "มหากัปปินะ" พร้อมข้าราชบริวารหนึ่งพัน และพระมเหสีพร้อมด้วยภรรยาของมหาอำมาตย์หนึ่งพันคน เพียงได้เห็นพระรูปพระพุทธเจ้า ก็ใช้ศรัทธาตัดวิจิกิจฉา อัตตาดับลงพร้อมกัน เข้าสู่การเสวยโสตาปัตติผล

ผู้ได้ยินเสียง ได้แก่ มิคารเศรษฐี พ่อสามีนางวิสาขา เป็นสาวกของนักบวชชีเปลือย ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าพร้อมกับนางวิสาขาด้วยความจำใจ แต่นักบวชชีเปลือยบังคับให้มิคารเศรษฐีกั้นผ้าม่าน เพื่อมิให้เห็นพระพุทธองค์ เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม มิคารเศรษฐีฟังธรรมอยู่หลังม่าน ก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน โดยไม่เห็นพระพุทธองค์

ผู้ได้เห็นและได้ฟังเสียง ได้แก่ นางวิสาขา, อนาถปิณฑิกเศรษฐี เป็นต้น ได้เห็นและได้ฟัง พระธรรมแล้วใช้ศรัทธาตัดวิกิจฉา อัตตาก็ดับลงพร้อมกัน บรรลุเป็นพระโสดาบัน

ผู้ลงมือปฏิบัติ ได้แก่ พระมหาสีวะ ตลอดจนถึงพวกเราท่านทั้งหลาย ที่เป็นปกติสาวก ซึ่งได้ศึกษาเรียนรู้ ได้ฟังและได้สอบถามแล้วเกิดศรัทธาเลื่อมใส ใช้ปัญญาตัดอัตตทิฐิ วิจิกิจฉาก็ดับพร้อมกันเข้าสู่ความเป็นโสดาบัน บุคคลประเภทลงมือปฏิบัตินี้ที่สามารถเข้าสู่การบรรลุธรรมมีมากมายจนไม่อาจนับจำนวนได้ฯ

ธรรมสากัจฉา ช่วงเย็นครับ

ด้วยความเคารพอย่างสูง


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 26 ธ.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ธรรม เป็นเรื่องละเอียด แม้แต่การบรรลุธรรม ก็ต้องมีเหตุที่สมควรแก่ผล และต้องพิจารณาด้วยเหตุผลตามความเป็นจริงครับ

สำหรับข้อความที่ผู้ร่วมสนทนา ยกมาที่ว่า ผู้ที่บรรลุ มี ๕ ประเภท คือ

๑. ผู้ได้ข่าว

๒. ผู้เห็นรูป

๓. ผู้ได้ยินเสียง

๔. ผู้ได้เห็นและได้ฟังเสียง

๕. ผู้ลงมือปฏิบัติ

และก็ได้ยกตัวอย่างประกอบในเรื่องซึ่ง การบรรลุธรรม ในภาษาธรรม เรียกว่า ปฏิเวธ คือ การบรรลุ ดังนั้น ก่อนที่จะถึงการบรรลุ พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ครับ คือ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ

ปริยัติ คือ การศึกษาพระธรรมหรือฟังพระธรรม ที่พระพุทธเจ้าหรือสาวก หรือจากพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ด้วยการฟังหรือด้วยการศึกษาพระธรรม โดยวิธีต่างๆ เช่น ฟังจากผู้รู้ จากสาวก หรืออ่านพระธรรมหรือฟังพระธรรมจากพระพุทธเจ้า นั่นคือ การศึกษาปริยัติ

ปฏิบัติ คือ ขณะที่ปัญญาเกิดรู้ความจริงของสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ โดยรู้ความจริง ว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา

ปฏิเวธ คือ การบรรลุธรรม เป็นพระอริยสาวกขั้นต่างๆ ครับ

ดังนั้น การจะบรรลุธรรม จะปราศจาก ปริยัติ คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมโดยวิธีต่างๆ ไม่ได้เลย อาจจะได้ยินข่าว เช่น นางกาฬี ได้ยินข่าว แต่ในความเป็นจริง ได้ฟังพระธรรม จากยักษ์ที่กล่าวพระพุทธคุณจึงบรรลุธรรมครับ ไม่ใช่เพียงได้ยินข่าวการเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ดังนั้น ได้ยินธรรม คือ ได้ฟังพระธรรม เป็นปริยัติ

การเห็นรูปของพระมหากัปปินะ ไม่ใช่เพียงเห็นเท่านั้นครับ ได้ฟังพระธรรมเช่นกันจากพระพุทธเจ้า จึงบรรลุธรรม

ได้ยินเสียง อันนี้เป็นที่เข้าใจ คือ ฟังพระธรรมจึงบรรลุ

และท้ายสุดที่กล่าวว่าลงมือปฏิบัติ จะกล่าวต่อไปครับ ดังนั้น ขาดปริยัติ คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ตามที่กล่าวมาไม่ได้เลย เพราะมีการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม คือ ปริยัติ ปัญญาที่เจริญขึ้นจากการฟังพระธรรมในขณะนั้น ย่อมน้อมไปสู่ปฏิบัติ คือ ขณะที่สติและปัญญาเกิดรู้ความจริง

ถามว่า ต้องลงมือปฏิบัติ ตามที่ข้อ ๕. กล่าวไว้ไหม ไม่ต้องลงมือครับ เพราะไม่มีเรา มีแต่ธรรม ที่เกิดทำหน้าที่เอง รู้ความจริงของสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ เมื่อปัญญาเกิดเมื่อไหร่ ที่รู้ความจริงในขณะนี้ ก็เป็นการปฏิบัติเกิดแล้วในขณะนั้น ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นการฟัง การศึกษาพระธรรมที่เป็นปริยัติ ก็น้อมไปสู่ปฏิบัติเสมอ คือ เข้าใจความจริงในขณะนี้ และเมื่อมีการเกิดขึ้นของสติและปัญญาที่รู้ความจริงของสภาพธรรมบ่อยๆ (ปฏิบัติ) เมื่อปัญญาถึงพร้อม ก็ทำให้ปัญญาแก่กล้า บรรลุธรรม เป็นปฏิเวธ เป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ ครับ

ดังนั้น เพราะอาศัยปริยัติ จึงนำไปสู่ปฏิบัติและปฏิเวธ คือ การบรรลุธรรม ซึ่งจากตัวอย่างที่ผู้ร่วมสนทนายกมานั้น ล้วนแล้วแต่ต้องฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมทั้งนั้น ไม่ใช่เพียงได้ยินข่าว หรือได้เห็นเท่านั้นครับ และเมื่อได้ฟังพระธรรม ปัญญาก็รู้ความจริงของสภาพธรรมในขณะนั้นที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา ก็ต้องมีปฏิบัติเกิดขึ้นด้วยกันทั้งหมด ถึงจะบรรลุ คือ ปฏิเวธได้ครับ ดังนั้น ปัญญาเบื้องต้น คือ การศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมเป็นอุปการะกับปัญญา และการบรรลุธรรม ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
เซจาน้อย
วันที่ 26 ธ.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 26 ธ.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

การบรรลุมรรค ผล นิพพาน เป็นเรื่องของปัญญา ปัญญาทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้น ต้องมาจากการได้ฟัง ได้ศึกษาพระธรรม ซึ่งจะเห็นได้ว่าพระอริยสาวกทั้งหลายอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมมาแล้ว จึงถึงความเป็นพระอริยบุคคล จะไม่มีใครแม้แต่คนเดียวซึ่งกล่าวว่า ปัญญาที่ได้มา ที่ได้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรม ที่สามารถประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมนั้น ไม่ได้เกิดจากการฟังพระธรรม ไม่สามารถที่จะกล่าวอย่างนี้ได้ เพราะปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูก ต้องเริ่มที่การฟังพระธรรมในแนวทางที่ถูกต้อง

บุคคลผู้ที่เห็นคุณของพระรัตนตรัย มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ย่อมไม่ขาดการฟังพระธรรมซึ่งเป็นปริยัติธรรม ข้อสำคัญที่สุดสำหรับผู้ที่ฟังพระธรรมและศึกษาพระธรรม คือ ต้องรู้ว่าเพื่อน้อมประพฤติปฏิบัติตามเท่าที่สามารถจะกระทำได้ โดยที่ไม่เพียงแค่ฟังเท่านั้น การศึกษาตามหลักคำสอนของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ต้องเป็นไปตามลำดับ กล่าวคือ ผู้ศึกษาต้องฟังพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ก่อน ซึ่งเป็นการศึกษาในขั้นของปริยัติ (ปริยัติ หมายถึง การรอบรู้ในพระธรรมคำสอน) เมื่อฟังเข้าใจแล้วจึงน้อมประพฤติปฏิบัติตามคำสอน (ซึ่งไม่มีตัวตนที่ปฏิบัติ แต่เป็นธรรมปฏิบัติหน้าที่ของธรรม คือ สติและปัญญาเกิดขึ้นระลึกรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ) เมื่อปฏิบัติตามคำสอนจึงจะมีผลคือการรู้แจ้งอริยสัจจธรรมละกิเลสได้ตามลำดับขั้น (เป็นขั้นปฏิเวธ คือ การแทงตลอด การรู้แจ้งอริยสัจจธรรม) ปฏิเวธจะมีไม่ได้ถ้าไม่มีการปฏิบัติอย่างถูกต้อง และการปฏิบัติอย่างถูกต้องจะมีไม่ได้ถ้าไม่มีการศึกษาพระธรรมคำสอนอย่างถูกต้อง ทั้งปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ ต้องเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
dets25226
วันที่ 26 ธ.ค. 2554

ขออนุโมทนาอาจารย์ทั้ง ๒ ที่อธิบายให้ชัดครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ผู้รู้น้อย
วันที่ 27 ธ.ค. 2554
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของอาจารย์ทั้ง ๒ ที่อธิบาย ด้วยเศียรเกล้าครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
jaturong
วันที่ 27 ธ.ค. 2554

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
วิริยะ
วันที่ 27 ธ.ค. 2554

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
intra
วันที่ 27 ธ.ค. 2554

ขอบคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตทุกๆ ท่านค่ะ

ธรรม เป็นสิ่งลึกซึ้ง ต้องไม่เผินจริงๆ จึงเป็นเรื่องน่าศึกษายิ่ง

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
ประสาน
วันที่ 31 พ.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

การศึกษาพระธรรมต้องเป็นผู้ละเอียด

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
Witt
วันที่ 31 ก.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
chatchai.k
วันที่ 22 ม.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
chatchai.k
วันที่ 22 ม.ค. 2564

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

อบรมปัญญาให้เข้าใจความจริง จะเป็นประโยชน์ทั้งชาตินี้และชาติต่อๆ ไป กุศลที่ทำได้เสมอๆ คือ การฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีคุณค่ามหาศาลสำหรับชีวิตที่ต้องเดินทางต่อไป อีกแสนไกล และกันดาร

ขอเชิญศึกษาพระธรรม ...

รวมลิงก์เมนูต่างๆ ในเว็บไซต์

พระไตรปิฎก

ฟังธรรม

วีดีโอ

ซีดี

หนังสือ

กระดานสนทนา

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ