ชนะตนได้ นั่นแหละเป็นดี ฯ

 
dets25226
วันที่  30 ธ.ค. 2554
หมายเลข  20263
อ่าน  10,607

การชนะคนอื่น หมื่นแสนหน เดี๋ยวกลับตนเป็นแพ้ ไม่แน่หนอ ชนะตนจากชั่ว เท่านั้นพอ ย่อมเกิดก่อสุขแท้ แก่ตนเองฯ

อนุโมทนาในความอนุเคราะห์ด้วยดีตลอดมาครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 30 ธ.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอกล่าวถึงพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงในคำที่ยกมานะครับ ขออนุญาตเล่าเรื่องดังนี้

มีพราหมณ์คนหนึ่ง เข้าไปเฝ้าทูลถามปัญหากับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าได้ตรัสถามพราหมณ์ผู้นั้นว่า ท่านทำการงานเลี้ยงชีพด้วยอะไร? พราหมณ์ทูลว่า เล่นสกา (การพนัน) พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า ท่านชนะหรือแพ้เล่า? พราหมณ์ตอบว่า แพ้บ้าง ชนะบ้าง พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า การชนะของบุคคลด้วยการชนะผู้อื่นไม่ประเสริฐเลย แต่การชนะตน ชนะตนในที่นี้ คือชนะกิเลสของตนเอง ความชนะนี้ต่างหาก ประเสริฐ เพราะการชนะกิเลสตนเองคือดับกิเลสจนหมดสิ้น ก็ไม่มีใคร ไม่ว่าเทวดา มาร พรหม ให้แพ้อีกไม่ได้ คือให้แพ้ กลับเป็นอกุศลอีก ส่วนการชนะโดยทั่วไป ชนะผู้อื่นก็ทำให้ยังแพ้ผู้อื่น และก็ทำให้เกิดอกุศลในขณะนั้นคือขณะที่พยายามจะชนะ และชนะผู้อื่นก็เป็นกิเลสอกุศล ขณะที่แพ้ก็เป็นทุกข์เป็นอกุศล และก็ชื่อว่าแพ้ตนเองอยู่ในขณะนั้นที่กิเลสเกิดขึ้นครับ พระพุทธเจ้าจึงตรัสพระคาถาที่ว่า

"ตนนั่นแล บุคคลชนะแล้ว ประเสริฐ, ส่วนหมู่สัตว์นอกนี้ บุคคลชนะแล้ว ไม่ประเสริฐเลย, (เพราะ) เมื่อบุรุษฝึกตนแล้ว ประพฤติสำรวมเป็นนิตย์, เทวดา คนธรรพ์ มาร พร้อมทั้งพรหม พึงทำความชนะของสัตว์เห็นปานนั้น ให้กลับแพ้ไม่ได้เลย."

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 30 ธ.ค. 2554

[เล่มที่ 41] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้า 443

ชนะกิเลสประเสริฐ

" ... ผู้ใด พึงชนะมนุษย์พันหนึ่งคูณด้วยพันหนึ่ง (คือ ๑ ล้าน) ในสงคราม ผู้นั้น หาชื่อว่าเป็นยอดแห่งชนผู้ชนะในสงครามไม่ ส่วนผู้ใด ชนะตนคนเดียวได้ ผู้นั้นแล เป็นยอดแห่งผู้ชนะในสงคราม."

การชนะผู้อื่นในสงครามหรือชนะผู้อื่นในเรื่องต่างๆ แม้จะชนะด้วยจำนวนคนที่มากเท่าไหร่ก็ตาม ก็ด้วยอำนาจกิเลส ไม่ชื่อว่าประเสริฐ เพราะกิเลสหรืออกุศลเป็นสิ่งที่ไม่ดี จะเป็นสิ่งที่ประเสริฐไม่ได้เลยครับ ส่วนผู้ใด ชนะตนคนเดียวได้ อธิบายว่า ผู้ใดอบรมปัญญา เจริญวิปัสสนาจนดับกิเลสได้ การชนะกิเลสนั้นประเสริฐที่สุดครับ เป็นยอดแห่งผู้ชนะ เพราะชนะสิ่งที่ยาก ที่ทำให้เราเป็นผู้แพ้ตลอดเวลาคือชนะสิ่งที่ยากคืออกุศลที่เกิดขึ้นในจิตใจครับ

ซึ่งอาศัยการฟังพระธรรมและปัญญาเจริญขึ้น เมื่อปัญญาเจริญขึ้น การใช้ชีวิตประจำวันก็เห็นโทษของกิเลสแทนที่ เมื่ออยากชนะผู้อื่นในด้านต่างๆ ก็ไม่ต้องการชนะผู้อื่น แต่มุ่งขัดเกลากิเลสของตนเองเป็นสำคัญและมีความเป็นมิตรไมตรีกับผู้อื่น ซึ่งในคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ ก็แสดงถึงความละเอียดว่าแม้ขณะที่แข่งดีต้องการชนะผู้อื่น ขณะนั้นก็ไม่ใช่เพื่อนกับบุคคลนั้น ดังนั้น จึงไม่ได้สำคัญที่การชนะผู้อื่นในเรื่องใด แต่ประโยชน์คือจะชนะกิเลสของตนเองอย่างไร จึงสะสมปัญญา สะสมการฟังพระธรรม เพื่อดับกิเลสของตนเอง และเมื่อมีความเข้าใจพระธรรมแล้ว กาย วาจา และใจ แทนที่จะต้องการชนะ แข่งดี ก็มีเมตตา ไม่เอาชนะบุคคลนั้น แต่มีเมตตาอนุเคราะห์ และมองกลับมาที่ตนเองเป็นสำคัญเสมอ แม้แต่เรื่องของกิเลสครับ ที่จะต้องเริ่มละที่ตนเองเป็นสำคัญครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 30 ธ.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษา ไม่ว่าจะเป็นส่วนใดก็ตาม ย่อมเป็นเครื่องอุปการะเกื้อกูลให้ผู้ที่ได้ฟัง ได้ศึกษา มีความเข้าใจพระธรรมตามความเป็นจริงแล้วน้อมประพฤติปฏิบัติตามด้วยความจริงใจ ไม่ใช่เพียงแค่ฟังเท่านั้น เพื่อเป็นผู้มีความประพฤติที่ดีงามทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ เริ่มจากความดีตั้งแต่ขั้นต้นที่แต่ละบุคคลควรจะอบรมเจริญให้มีขึ้นในชีวิตประจำวัน จนถึงความดีขั้นสูงสุด ซึ่งเป็นประโยชน์สูงสุดคือเพื่อการรู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงการดับกิเลสทั้งหลายทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาดไม่เกิดอีกเลย เป็นผู้ที่ชนะอย่างแท้จริงด้วยการชนะกิเลสของตนเอง กิเลสที่ดับได้แล้วไม่สามารถกลับมาเกิดอีกได้ หรือใครๆ ก็ไม่สามารถทำให้กลับมาเป็นความพ่ายแพ้ได้

การชนะคนอื่นที่เข้าใจกันในทางโลกไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดๆ ก็ตาม ไม่ใช่การชนะที่แท้จริง เพราะเป็นไปด้วยอกุศลนานาประการ และอาจจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อีกได้ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง เป็นเหตุนำมาซึ่งทุกข์อย่างไม่จบสิ้น ดังนั้น การชนะที่แท้จริง ซึ่งเป็นความชนะที่ดีนั้น จึงไม่ใช่การชนะคนอื่น แต่เป็นการชนะกิเลสของตนเองที่สะสมมาอย่างเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์ มีโลภะ (ความติดข้อง) โทสะ (ความโกรธ) โมหะ (ความหลง ความไม่รู้) เป็นต้น โดยต้องเริ่มที่การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ มีพระธรรมเป็นที่พึ่งด้วยการน้อมประพฤติปฏิบัติตาม ฝึกตน ด้วยความเข้าใจพระธรรม ความเข้าใจพระธรรมเท่านั้น (ปัญญา) ที่จะเกื้อกูลได้สำหรับชีวิตของทุกๆ คน ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
เซจาน้อย
วันที่ 31 ธ.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 31 ธ.ค. 2554

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 31 ธ.ค. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
pat_jesty
วันที่ 31 ธ.ค. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 24 ก.ค. 2556

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
chatchai.k
วันที่ 7 ธ.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ