วิกฤตจิตมนุษย์

 
Nop.p
วันที่  20 ธ.ค. 2555
หมายเลข  22208
อ่าน  4,881

สังคมโลกยุค IT. ยิ่งทำให้ผู้คนหลงใหลไปกับความสบายของเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เอื้ออำนวยความสะดวกสบายตามแต่ที่มนุษย์สรรหามา สำคัญที่เด็กๆ ทั้งหลายที่ไม่พร้อมทั้งคุณวุฒิและวัยวุฒิที่รับรู้และใช้สิ่งของนั้นๆ ที่มีทั้งผลดีและผลเสียอยู่ในตัวของมันเอง เช่น ความคลั่งไคล้ในเกมต่างๆ การเข้าท่องในเนต การเล่นแชท การเล่นการพนันต่างๆ ฯลฯ ท่านเห็นไหมผลเหล่านี้ได้สะท้อนและแสดงให้เห็นแล้วในตัวเด็กซึ่งเป็นอนาคตของชาติ เพราะด้วยสาเหตุใด ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ภูมิของเด็กพร้อมแล้วหรือที่จะรับกับสิ่งเหล่านั้น แล้วผู้ใหญ่ล่ะ รับรู้แล้วทำอะไรบ้าง ข่าวคราวที่เกี่ยวกับเด็กพร้อมพฤติกรรมที่เด็กได้แสดงออกมาให้เห็น มันเป็นสภาวะของจิตที่เด็กได้สั่งสมมานานพอสมควรโดยความไม่เข้าใจของเด็กเอง เพราะคุณธรรมและจริยธรรมได้จางหายไปจากจิตใจเด็กทั้งหลาย ทางภาควิชาการก็ไม่มีวิชาเหล่านี้ สอนแต่เด็กให้เรียนเก่งและดี เก่งอย่างไร และดีอย่างไร ท่านผู้ใหญ่พอจะตอบได้ไหม ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 21 ธ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ในความเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่หรือเด็ก ก็ไม่พ้นจากสภาพธรรมที่มีจริง คือ จิต เจตสิก รูป ที่เกิดขึ้น จึงบัญญัติ เด็ก ผู้ใหญ่ สัตว์ บุคคล เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นไปในชีวิตประจำวัน ทั้งที่เป็นความโลภ โกรธ หลง ความดี ความไม่ดี ก็คือการเกิดขึ้นของจิต เจตสิกนั่นเอง ซึ่งก็ไม่พ้นจากทางตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ ที่รู้สิ่งใดสิ่งหนึ่งว่าเป็นคอมพิวเตอร์หรือเรื่องราวต่างๆ ครับ

ดังนั้น สิ่งที่ทำให้จิตหลง หรือไม่มีคุณธรรม คืออะไร นั่นคือ กิเลสที่สะสมในจิตใจที่มีอยู่ เมื่อมีการเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส สิ่งที่กระทบสัมผัสที่น่าพอใจอันสมมติว่าอยู่ในคอมพิวเตอร์ สมมติว่าเป็นเทคโนโลยี ก็ติดข้องพอใจในสิ่งเหล่านี้ เพราะฉะนั้น ต้นเหตุที่แท้จริง จึงเป็นกิเลส ที่เป็นความโลภ โกรธ หลง เป็นต้น หากไม่มีกิเลสก็จะไม่มีความติดข้องและจะไม่มีการทำพฤติกรรมที่ไม่ดีเลย เพราะสิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้นได้เพราะจิตใจที่ไม่ดี ซึ่งมีเหตุมาจากจิตที่ไม่ดี คือมีกิเลสเกิดขึ้นในใจในขณะนั้น ดังนั้น แม้ไม่มีเทคโนโลยีดังเช่นสมัยนี้ แต่ก็ยังมีการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้กระทบสัมผัส ไม่ว่าในอดีต ปัจจุบันและอนาคต ก็ยังจะต้องมีการเห็นสีต่างๆ ได้ยินเสียงต่างๆ ได้กลิ่นต่างๆ ได้ลิ้มรสประเภทต่างๆ ได้รู้กระทบสัมผัสประเภทต่างๆ และก็เกิดความติดข้อง เกิดกิเลสขึ้นในจิตใจอีกเช่นเคย

นี่แสดงให้เห็นว่า ทุกยุคทุกสมัย แม้จะมีการเปลี่ยนไปของเรื่องราวภายนอกที่สมมติว่าเป็นเทคโนโลยีทันสมัยต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย แต่สิ่งที่ยังคงอยู่ในจิตใจและเป็นต้นเหตุให้เกิดพฤติกรรมไม่ดีก็ไม่ได้หายไปไหนเลย คือกิเลสที่มีในจิตใจ

เมื่อถึงยุคปัจจุบันในขณะนี้ กิเลสก็ยังเป็นต้นเหตุของปัญหาทั้งหมด ทั้งความไม่รู้ ความเห็นผิด เป็นต้น สัตว์โลกจึงหนาด้วยกิเลส เมื่อได้รับรูปที่ดี เสียงที่ดี กิเลสก็พร้อมเกิดขึ้น หนทางการแก้ไข ก็คงจะต้องเป็นเรื่องเฉพาะตน เพราะเหตุว่า หนทางการแก้ไข จะต้องอบรมธรรมที่เป็นปฏิปักษ์ เป็นข้าศึกต่อกิเลส นั่นคือ การอบรมปัญญา ซึ่งจะมีได้ก็ด้วยการศึกษาพระธรรมจากคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งการสนใจพระธรรมก็ไม่สาธารณะกับทุกคน คือไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะสนใจ ก็แล้วแต่ครับว่าในอดีตชาติ ผู้นั้นสะสมความสนใจมาหรือไม่ เพราะฉะนั้น โลกก็ต้องดำเนินไปอย่างนี้ตามการสะสมของแต่ละคน ไม่มีใครสามารถที่จะทำให้แผ่นดินทั้งหมดที่มีเนินไม่ราบเรียบเพียงฝ่ามือของใครผู้ใดผู้หนึ่งหรือแม้ทั้งหมด ให้แผ่นดินทั้งโลกเสมอราบเรียบหมด การที่จะทำให้สัตว์โลกทั้งหมดสนใจพระธรรม สนใจในคุณความดี ก็ไม่ใช่ฐานะที่ทำได้ แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่สามารถแก้ไขสัตว์โลกทั้งหมดที่ไม่ได้สะสมปัญญามา ให้ยึดมั่นในคุณความดีได้เลย ดังนั้น ควรเริ่มที่ตนเองเป็นสำคัญ คือฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมตามกำลังของตน ขณะนั้นก็ชื่อว่า กำลังช่วยโลก คือโลกของจิตใจแต่ละคนโดยเริ่มที่เรา เพราะเมื่อเรามีความเข้าใจถูก ก็เป็นประโยชน์กับตนเองและผู้อื่นด้วย เพราะปัญญาของตนเอง ย่อมทำให้มีการคิดถูก พฤติกรรมของตนเองก็ถูก และมองปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลกด้วยความเข้าใจ ไม่เดือดร้อนกับปัญหาของคนอื่น แต่เข้าใจปัญหาของคนอื่นและปรับปรุงจิตใจของตนเอง ด้วยการอบรมปัญญาจากการฟังพระธรรม เป็นสำคัญครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
Nop.p
วันที่ 21 ธ.ค. 2555

ขอบคุณครับอาจารย์ กิเลส ๓ ย่อมเกิดขึ้นกับบุคคลทั่วไปที่ยังไม่สามารถรู้และสว่างในธรรมถึงที่สุดไม่มากก็น้อย แต่ใช่ว่าปัญหาแบบโลกๆ จะจบสิ้นไป แม้แต่ในบ้านเมืองทุกผู้ทุกนาม ล้วนแต่อ้างตนว่าเป็นปัญญาชน คนของประชาชน แต่ก็หนีไม่พ้นกิเลส ๓ โลกธรรม ๘ ให้รู้เห็นเป็นประจำ แล้วเยาวชนเราคนไทยจะทำอย่างไร? สภาวธรรมย่อมเป็นไปตามสภาวธรรม แต่ถ้าสภาวธรรมนั้นๆ อันประกอบไปด้วยอกุศล ท่านผู้รู้พอที่จะดำเนินการอย่างไรได้บ้าง หรือว่าจะทำตัวเป็นท่าน "ผู้รู้แล้วไม่ชี้" หรือรอให้เขารู้ตัวก่อนแล้วค่อยชี้?

ขออนุโมทนาบุญครับ ... เจริญธรรม

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
นิรมิต
วันที่ 21 ธ.ค. 2555

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 21 ธ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีประโยชน์เฉพาะสำหรับผู้ที่ได้ฟัง ได้ศึกษา พร้อมทั้งมีความเข้าใจไปตามลำดับเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นวัยใด เพศใด ก็ตาม ส่วนบุคคลนอกนี้ย่อมจะไม่ได้รับประโยชน์

ความเป็นผู้สนใจที่จะศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมให้เข้าใจนั้น เป็นเรื่องของการสะสมของแต่ละบุคคล เพราะได้สะสมศรัทธา สะสมปัญญา เห็นประโยชน์ของพระธรรมมาแล้ว จึงมีความสนใจ ที่จะฟัง ที่จะศึกษาเพื่อความเข้าใจยิ่งขึ้น ต่อไป

ซึ่งจะต่างจากบุคคลผู้ที่ไม่ได้สะสมเหตุที่ดีมา เป็นผู้ไม่มีศรัทธา ถึงแม้ว่าพระธรรมจะเปิดอยู่ใกล้ๆ เขาก็ไม่ฟัง ซึ่งไม่ต้องลงทุน ไม่ต้องเสียเงินเลย ก็ไม่ฟัง และประการที่สำคัญ ผู้ที่ไม่สนใจศึกษาพระธรรมนั้น ไม่ได้มีเฉพาะในยุคนี้สมัยนี้เท่านั้น มีทุกยุคทุกสมัย แม้แต่ในสมัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ทรงประกาศพระศาสนาเกื้อกูลแก่สัตว์โลก ก็มีคนจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว ที่ไม่ฟัง ไม่ศึกษา ไม่ได้รับประโยชน์จากพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง

แต่ละคน ก็สะสมมาแตกต่างกัน เราไม่สามารถจะไปเปลี่ยนแปลงใครได้ แต่เราสามารถทำกิจที่ควรทำสำหรับตนเองได้ ด้วยการสะสมกุศล ฟังพระธรรมอบรมเจริญปัญญาต่อไป และมีโอกาสที่จะเกื้อกูลผู้อื่นได้ ก็เกื้อกูลเท่าที่จะเป็นไปได้ ทำหน้าที่ของกัลยาณมิตรให้ดีที่สุด ด้วยการพูด ด้วยการแนะนำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ ถ้าเขารับฟัง พร้อมที่จะศึกษา ก็เป็นโอกาสที่ดีที่สุดในชีวิตของเขาที่จะได้สะสมในสิ่งที่ประเสริฐ คือ ปัญญา แต่ถ้าเขาไม่รับฟัง ก็ควรพิจารณาอยู่เสมอว่า สัตว์โลกมีกรรมเป็นของตน เพราะเขาสะสมมาที่จะไม่เห็นประโยชน์ เขาจึงไม่สนใจ ก็จะทำให้เราเป็นผู้เบาด้วยกุศลได้ในขณะนั้น ไม่เสียใจที่คนที่เราแนะนำไม่สนใจในการศึกษาพระธรรม ครับ.

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
paderm
วันที่ 21 ธ.ค. 2555

เรียนความเห็นที่ 2 ครับ

สัตว์โลกก็เป็นไปตามการสะสม ผู้รู้ชี้ แต่ผู้นั้นไม่สนใจ ไม่อยากรู้ก็ได้ ดังนั้น การชี้ก็ชี้กับผู้ที่สนใจ และผู้ที่จะชี้ให้ผู้อื่นรับรู้โดยมากไม่ใช่เพียงอาศัยการเป็นผู้รู้เท่านั้น แต่มีกำลัง มีอำนาจในทางบ้านเมืองหรือไม่ที่จะชี้ และออกเป็นนโยบายให้คนทั้งหลายมากมายได้รับรู้ เพราะฉะนั้น คิดได้ แต่จะทำให้เป็นวงกว้าง เป็นนโยบายก็ไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างที่รู้ๆ กันอยู่ ครับ เพราะฉะนั้น ควรเริ่มจากสิ่งที่ใกล้ตัว คือตัวเราก่อนเป็นสำคัญที่สุด และก็คนรอบข้างที่สนใจในเรื่องนี้ เพราะพระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ครับว่า คำพูดที่ดี ก็เป็นคำพูดชั่วกับผู้ที่ไม่สนใจและไม่มีคุณธรรม และคำพูดที่ชั่วแต่ก็กลับเป็นคำพูดที่ดีสำหรับผู้ที่ไม่มีคุณธรรม เช่นกัน ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Nop.p
วันที่ 22 ธ.ค. 2555

ขอบคุณครับอาจารย์ ผมขออนุโมทนาด้วย ผมเป็นคนชอบวิเคราะห์ และขี้สงสัย ไม่ใช่สงสัยในธรรมของพระพุทะเจ้า แต่สงสัยใจจิตใจของเพื่อนร่วมโลกครับ ฤาเราจะปล่อยวางกับการกระทำของคนตามแต่เส้นทางเดินของใครของมัน อนิจจัง ...

อนุโมทนาบุญครับอาจารย์ที่ให้คำแนะนำ.

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
kinder
วันที่ 22 ธ.ค. 2555

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
lovedhamma
วันที่ 10 พ.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
chatchai.k
วันที่ 21 ม.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ