การสร้างบารมีของพระพุทธเจ้า

 
wkedkaew
วันที่  27 ส.ค. 2556
หมายเลข  23448
อ่าน  32,693

การสร้างบารมีของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ (ปัญญาธิกะ วิริยาธิกะ ศรัทธาธิกะ) ใช้เวลาสะสมบารมีต่างกันอย่างไรคะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 27 ส.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๓ ประเภท

จำแนกตามความยิ่งหย่อนของปัญญา ศรัทธา และ วิริยะ คือ

๑. ผู้ที่เป็นปัญญาธิกะ ยิ่งด้วยปัญญา สะสมบารมีน้อยที่สุดคือ ๔ อสงไขยแสนกัปป์

๒. ผู้ที่เป็นสัทธาธิกะ ยิ่งด้วยศรัทธา สะสมบารมีปานกลางคือ ๘ อสงไขยแสนกัปป์

๓. ผู้ที่เป็นวิริยาธิกะ ยิ่งด้วยวิริยะ สะสมบารมีมากที่สุดคือ ๑๖ อสงไขยแสนกัปป์

[เล่มที่ 50] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้าที่ 17

แต่โดยความหมายแห่งสัมมาสัมโพธิญาณ ของพระมหาโพธิสัตว์ทั้งหลายนั้น โดยกำหนดอย่างต่ำ ต้องปรารถนาการเพิ่มพูนโพธิสมภารตลอดเวลา ๔ อสงไขย (กำไร) แสนมหากัป โดยกำหนดอย่างกลาง ต้องปรารถนาการเพิ่มพูนโพธิสมภาร ตลอดเวลา ๘ อสงไขย (กำไร) แสนมหากัป โดยกำหนดอย่างสูง ต้องปรารถนาการเพิ่มพูนโพธิสมภารตลอดเวลาถึง ๑๖ อสงไขย (กำไร) แสนมหากัป และข้อแตกต่างกันเหล่านี้ พึงทราบด้วยสามารถแห่งบารมีของพระโพธิสัตว์ ผู้ที่เป็นปัญญาธิกะ สัทธาธิกะ และวิริยาธิกะ

อธิบายว่า ผู้ที่เป็นปัญญาธิกะ ย่อมมีศรัทธาอ่อน แต่มีปัญญากล้าแข็ง และต่อจากนั้นไปไม่นาน บารมีก็จะถึงความบริบูรณ์ เพราะความเป็นผู้ฉลาดในอุบาย เป็นภาวะผ่องใส และละเอียดอ่อน

ผู้ที่เป็นสัทธาธิกะ ย่อมมีปัญญาปานกลาง เพราะฉะนั้น บารมีของพระโพธิสัตว์ผู้เป็นสัทธาธิกะเหล่านั้น จึงถึงความบริบูรณ์ไม่เร็วเกินไปและไม่ช้าเกินไป

ส่วนผู้ที่เป็นวิริยาธิกะ ย่อมมีปัญญาน้อย เพราะฉะนั้น บารมีของพระโพธิสัตว์ผู้วิริยาธิกะเหล่านั้น จึงถึงความบริบูรณ์โดยการเนิ่นนานทีเดียว


จากข้อความในพระไตรปิฎก เป็นการบำเพ็ญบารมีหลังจากที่ได้รับการพยากรณ์แล้ว ว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล ผู้ที่เป็นพระโพธิสัตว์ที่เป็นปัญญาธิกะก็ต้องบำเพ็ญบารมี ๔ อสงไขยแสนกัป ส่วนพระโพธิสัตว์ที่ยิ่งด้วยศรัทธา สัทธาธิกะ ก็ต้องบำเพ็ญบารมี หลังจากได้รับการพยากรณ์แล้วจากพระพุทธเจ้า เป็นเวลา ๘ อสงไขยแสนกัป และพระโพธิสัตว์ ที่ยิ่งด้วยวิริยะ วิริยาธิกะ ก็บำเพ็ญบารมี ๑๖ อสงไขยแสนกัป ครับ

พระพุทธเจ้าของเราในปัจจุบัน คือพระพุทธเจ้าพระสมณโคดม บำเพ็ญบารมีแบบปัญญาธิกะ บำเพ็ญบารมี ๔ อสงไขยแสนกัป พระพุทธเจ้าองค์ก่อนหน้านี้คือพระพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปะ บำเพ็ญบารมีแบบสัทธาธิกะ อบรมบารมี ๘ อสงไขยแสนกัป และพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล คือพระพุทธเจ้าพระศรีอริยเมตตรัยบำเพ็ญบารมีแบบวิริยาธิกะ พระองค์บำเพ็ญบารมีมายาวนาน ๑๖ อสงไขยแสนกัป แต่เมื่อได้บรรลุเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ทุกพระองค์คุณธรรมเสมอกันหมด และทุกพระองค์ก็ต้องตรัสรู้ด้วยมีปัญญาเป็นสำคัญทั้งสิ้น ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
wkedkaew
วันที่ 27 ส.ค. 2556

กราบขอบพระคุณมากค่ะ คุณ Paderm

(ขอแชร์ด้วยนะคะ)

สาธุ อนุโมทนาบุญค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 27 ส.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกๆ พระองค์ทรงเป็นบุคคลผู้เลิศผู้ประเสริฐที่สุดในโลก กว่าที่พระองค์จะได้ตรัสรู้นั้น ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาเป็นเวลาที่นานมาก พระคุณของพระองค์นั้นมีมากมาย พระองค์ทรงอุบัติขึ้นในโลกเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์โลกอย่างแท้จริง ด้วยการทรงแสดงพระธรรม ประกาศความจริงให้สัตว์โลกได้เข้าใจตามความเป็นจริง เป็นผู้หลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง พระบารมีทั้งหมดที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญมาก็เพื่อที่จะอุปการะเกื้อกูลแก่สัตว์โลก ที่จะได้ตรัสรู้ตามพระองค์ เป็นสาวก ผู้ที่เป็นสาวกไม่ว่าจะระดับใดก็ตามล้วนต้องเป็นผู้ที่ได้ฟังพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง และที่สำคัญพระธรรมที่พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ทรงแสดงนั้นไม่มีความแตกต่างกันเลย เหมือนกันทั้งหมด แสดงถึงสิ่งที่มีจริงทุกอย่างทุกประการตามความเป็นจริง และเป็นพระธรรมที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ได้ฟังได้ศึกษาและมีความเข้าใจอย่างแท้จริง เพราะเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก เป็นไปเพื่อละกุศล เป็นไปเพื่อดับทุกข์โดยประการทั้งปวง เป็นไปเพื่อการไม่เกิดอีกในสังสารวัฏฏ์

พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้ คือพระสมณโคดมทรงบำเพ็ญพระบารมีมาตลอดระยะเวลาสี่อสงไขยแสนกัปป์ ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ยาวนานอย่างยิ่ง เพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าซึ่งจะได้เกื้อกูลสัตว์โลกให้หลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง เมื่อพระองค์ทรงตรัสรู้แล้ว ทรงมีพระมหากรุณาต่อสัตว์โลกจึงทรงแสดงพระธรรมที่พระองค์ทรงตรัสรู้โปรดเวไนยสัตว์ ตลอดระยะเวลา๔๕ พรรษาทรงพร่ำสอนอยู่บ่อยๆ เนืองๆ ก็เพื่อให้ผู้ฟังมีความเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริงจนกระทั่งสามารถดับกิเลสทั้งปวงได้ในที่สุด มีผู้ที่ได้รับประโยชน์จากพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงมากมาย นับไม่ถ้วน

สิ่งที่เป็นที่พึ่งที่แท้จริงในชีวิต คือพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง ซึ่งจะทำให้ผู้ที่ได้ฟังได้ศึกษา มีความเข้าใจตามความเป็นจริง เป็นไปเพื่อการเจริญขึ้นของปัญญา เพื่อขัดเกลากิเลสจนหมดสิ้น ถ้าไม่ได้อาศัยพระธรรม ไม่มีการอบรมเจริญปัญญาแล้ว สังสารวัฏฏ์ก็จะดำเนินไปอย่างไม่มีวันจบสิ้น ยังไม่สามารถหลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวงได้ ดังนั้น จึงต้องเริ่มสะสม อบรมเจริญปัญญาด้วยตนเอง เห็นประโยชน์สูงสุดของปัญญา เพิ่มพูนความเข้าใจถูก เห็นถูกขึ้น ไปตามลำดับ ตั้งแต่ในขณะนี้ ครับ

..ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
wannee.s
วันที่ 27 ส.ค. 2556

ในอดีตพระพุทธเจ้าอบรมบารมี ๑๐ เพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เพื่อช่วยให้สัตว์มีดวงตาเห็นธรรม พ้นทุกข์ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
wkedkaew
วันที่ 28 ส.ค. 2556

ขอบพระคุณทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
nopwong
วันที่ 28 ส.ค. 2556

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
orawan.c
วันที่ 30 ต.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
สิริพรรณ
วันที่ 17 มิ.ย. 2560

กราบนอบน้อมพระรัตนตรัยด้วยเศียรเกล้า

บารมี คือ ธรรมที่ทำให้ถึงฝั่ง ล้วนเป็นสิ่งที่แสนยากยิ่งที่จะหาผู้ใดสั่งสมได้เช่นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้พบพระธรรมของพระพุทธองค์จากการสืบทอดพระไตรปิฎกโดยพระอริยสาวกในครั้งพุทธกาล เพียรอดทนที่จะศึกษาเพื่อเข้าใจความจริงที่พระพุทธองค์ตรัสสอน และน้อมพิจารณาเพื่อประพฤติตามด้วยปัญญาที่เกิดจากความเข้าใจพระธรรม บารมีระดับสาวกคือผู้ฟังพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความเคารพ

ขอกราบอนุโมทนาขอบพระคุณด้วยค่ะในธรรมทาน

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
Natkullada
วันที่ 8 ก.พ. 2564

ขอบคุณค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
chatchai.k
วันที่ 8 ก.พ. 2564

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

อบรมปัญญาให้เข้าใจความจริง จะเป็นประโยชน์ทั้งชาตินี้และชาติต่อๆ ไป กุศลที่ทำได้เสมอๆ คือ การฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีคุณค่ามหาศาลสำหรับชีวิตที่ต้องเดินทางต่อไป อีกแสนไกล และกันดาร

ขอเชิญศึกษาพระธรรม ...

รวมลิงก์เมนูต่างๆ ในเว็บไซต์

พระไตรปิฎก

ฟังธรรม

วีดีโอ

ซีดี

หนังสือ

กระดานสนทนา

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ