ศาตร์ฮวงจุ้ย มีกล่าวในพระไตรปิฏกหรือไม่

 
สิริพรรณ
วันที่  16 ก.ย. 2557
หมายเลข  25540
อ่าน  4,757

แม้แต่ผู้ที่มีการศึกษาสูง การงานใหญ่โต จะต้องอาศัยการดูฮวงจุ้ยเรื่องบ้านหรือที่ทำงาน อยากทราบว่าในพระไตรปิฎก มีการกล่าวไว้อย่างไรบ้างไหมคะ ที่จะทำให้เรามั่นคงในความเห็นถูก เพราะสิ่งแวดล้อมรอบข้างหวั่นไหว อาจทำให้คนอยู่ด้วยลังเล


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 16 ก.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ฮวงจุ้ย เป็นความเชื่อด้วยความนึกคิดของปุถุชนที่มากด้วยความไม่รู้ ที่สำคัญว่าสิ่งภายนอก ที่เป็นสถานที่นั้นมีผลกับชีวิตความเป็นไป แท้ที่จริงแล้ว ไม่มีในคำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะไม่ใช่สัจจะความจริง เพราะที่ถูกต้อง รูปธรรมที่สมมติเรียกว่าบ้าน ก็เป็นเพียงธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม ที่เป็นสภาพธรรมที่เป็นรูปธรรม รูปธรรม เป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรเลย และประการที่สำคัญที่สุด การจะได้รับสิ่งที่ดีหรือไม่ดี ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานที่ แต่ขึ้นอยู่กับกรรมดีหรือกรรมไม่ดีที่ทํามาครับ สถานที่ดี (ตามสมมุติ) แต่จิตไม่ดีก็สะสมเหตุไม่ดี ก็ทําให้รับผลไม่ดี สถานที่ไม่ดี (ตามสมมุติ) แต่จิตดีก็ต้องได้รับผลที่ดี การจะได้รับสิ่งที่ดีหรือไม่ดีขึ้นอยู่กับเหตุที่ทําคือ กุศลกรรม และอกุศลกรรม สถานที่เป็นเพียงรูป รูปเป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร ไม่มีผลกับการได้รับสิ่งที่ดีหรือไม่ดี สําคัญที่จิต และสำคัญที่กรรมที่ได้ทำเป็นสำคัญ ครับ

ซึ่งในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ทรงแสดงสถานที่ที่ดี ประเสริฐ คือ สถานที่ที่มีผู้ที่มีคุณธรรม อยู่ในสถานที่นั้น เพราะจะนำมาซึ่งประโยชน์ คือ ได้คบหา สนทนาเพื่อพูนปัญญาเพิ่มขึ้น จากการได้เสพคุ้นกับผู้มีคุณธรรมในสถานที่นั้นครับ ดังข้อความในพระไตรปิฎก ดังนี้

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หนาที่502

๕. รามเณยยกสูตร

[๙๒๑] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบด้วยพระคาถาว่า อารามอันวิจิตร ป่าอันวิจิตร สระโบกขรณีที่สร้างอย่างดีย่อมไม่ถึงเสี้ยวที่ ๑๖ อันแบ่งออก ๑๖ ครั้ง แห่งภูมิสถานอันรื่นรมย์ของมนุษย์ พระอรหันต์ทั้งหลายอยู่ในที่ใด เป็นบ้านหรือป่าก็ตาม เป็นที่ลุ่มหรือที่ดอนก็ตาม ที่นั้นเป็นภูมิสถานอันน่าริ่นรมย์

---------------------------------------------------

ชาวพุทธที่แท้จริง จะต้องเป็นผู้มีความมั่นคงในเหตุในผล ซึ่งจะต้องอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง เพราะเหตุว่าพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง เป็นไปเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง สำหรับผู้ที่ได้ฟัง ได้ศึกษาอย่างแท้จริง ไม่ใช่เป็นไปเพื่อความไ่ม่รู้

ถ้าไม่มีความมั่นคงแล้ว ใครว่าอะไร ให้ทำอะไร ก็จะทำตามไปทั้งหมด ด้วยความไม่รู้ ด้วยการที่กระทำตามๆ กันมา แต่เมื่อได้ศึกษาพระธรรม สะสมปัญญาไปตามลำดับแล้ว ก็จะทำให้มีความเข้าใจมากขึ้น มั่นคงในความเป็นจริงมากขึ้น ไม่หวั่นไหวไปตามคำพูดของผู้อื่น (ที่ไม่เกื้อกูลให้ได้เข้าใจความจริง) แต่มั่นคงในพระธรรมคำสอนที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง

อีกประการหนึ่งที่ควรพิจารณา คือ ไม่มีอะไรที่จะเป็นที่พึ่งสำหรับชีวิตอย่างแท้จริงนอกจากปัญญา ความรู้ความเข้าใจสิ่งที่มีจริงเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ปัญญาที่เกิดจากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมในแต่ละครั้งในชีวิตประจำวันนั้น ไม่สูญหายไปไหน สะสมสืบต่ออยู่ในจิตทุกขณะ และจะเป็นที่พึ่งที่แท้จริงสำหรับชีวิต จนกว่าจะมีปัญญาคมกล้าสามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาด ไม่ต้องมีการเกิดอีกในสังสารวัฏฏ์ เมื่อไม่มีการเกิด ก็ไม่ต้องมีการตาย ไม่ต้องมีทุกข์ใดๆ อีกเลย ครับ.

ปัญญาเกิดที่ใด กุศลเกิดที่ใด สถานที่นั้นเป็นสถานที่ดีแล้วในขณะนั้น ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
สิริพรรณ
วันที่ 16 ก.ย. 2557

ความไม่รู้มีกำลังแรงมาก ประมาทไม่ได้เลย

ความรู้ทางโลกไม่ได้ช่วยให้หายลังเล

หากไม่ฟังธรรม สนทนาธรรม เป็นประจำ มีสิทธิหวั่นไหวตามกระแส

ขอบพระคุณอ.ผเดิมมากค่ะ ที่ให้ข้อมูลได้ทันเวลา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
tanrat
วันที่ 17 ก.ย. 2557

กามภูมิคือการเกิดเป็นมนุษย์ เป็นผลมาจากกรรมดีกรรมเดียวมีกำลังและให้ผล แต่กิเลสตั้งมากมายในแสนโกฐิกัปป์ เอาไปไหน ถ้ายังไม่เป็นพระอรหันต์ก็ต้องเกิดอีก เพราะฉะนั้นบุคคลที่ได้รูปดีๆ เป็นผลของกรรมดี แต่ถ้ากรรมไม่ดีให้ผลเมื่อไร ก็เป็นทุกข์มากมาย ต้องไปพึ่งสิ่งซึ่งไม่อาจจะช่วยอะไรได้ แต่ที่พึ่งจริงๆ ก็คือกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา เพราะจะไม่ให้ใครเขาหลอกได้ มั่นคง และไม่หวั่นไหว

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
thilda
วันที่ 17 ก.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
khampan.a
วันที่ 17 ก.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ตามหลักพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีเรื่อง ฮวงจุ้ย ผู้ที่ไม่เข้าใจพระธรรมของพระพุทธองค์ ไม่มั่นคงในกรรมและผลของกรรม ผู้นั้นย่อมเชื่อถือสิ่งที่ไม่มีเหตุผลตามการสะสมของของแต่ละบุคคล โดยที่ไม่สามารถเข้าใจความจริงได้เลย เพราะถูกความไม่รู้และความเห็นผิดครอบงำ ใครก็ตามที่เชื่อถือมงคลตื่นข่าว ไม่เชื่อกรรมและผลของกรรม ย่อมไม่ใช่อุบาสกอุบาสิกาที่แท้จริง หนทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้มีความเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงของธรรม คือ หนทางแห่งการอบรมเจริญปัญญา ซึ่งจะขาดการฟังการศึกษาพระธรรมในชีวิตประจำวันไม่ได้เลย ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
j.jim
วันที่ 17 ก.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ปวีร์
วันที่ 17 ก.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
สิริพรรณ
วันที่ 17 ก.ย. 2557

แม้ฟังพระธรรมเนืองๆ ก็ประมาทไม่ได้เลย ที่จะหวั่นไหวในสิ่งที่ไม่มีเหตุผล เพราะรักตัวจากการสะสมความเห็นผิดว่ามีตัวเราไว้หนาแน่น เห็นด้วยว่า ต้องฟังพระธรรมจนจรดกระดุูกจริงๆ อย่างที่ท่านอ.สุจินต์เตือนอยู่เสมอๆ

ขอบพระคุณ อ.KHAMPAN มากค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
ประสาน
วันที่ 20 ก.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
napachant
วันที่ 23 ก.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
wannee.s
วันที่ 25 ก.ย. 2557

คำสอนของพระพุทธเจ้าเน้นเรื่องของปัญญา และ เรื่องของกรรม ถ้าทำเหตุดี ผลดี ถ้าทำเหตุไม่ดี ผลก็ไม่ดีค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ