การตายของมนุษย์แล้วไปเกิดใหม่

 
แต้ม
วันที่  2 มี.ค. 2558
หมายเลข  26258
อ่าน  2,540

ผมเคยได้ฟังการบรรยายธรรมของบุคคลท่านหนึ่ง ท่านได้พูดถึงความตายของมนุษย์ว่า เมื่อตายตามอายุขัย ก็จะไปเกิดได้รูปนามใหม่ทันที แต่ถ้าตายก่อนสิ้นอายุขัยแล้วไปอุบัติเป็นสัตว์ที่เรียกว่า สัมภเวสีที่มีรูปนามเป็นทิพย์และมีลักษณะเหมือนเดิมก่อนตายทุกประการ ซึ่งใครผู้ใดที่เคยเห็นเคยรู้จักพูดคุยกับเขาก่อนที่จะตายไปเป็นสัมภเวสี เมื่อพบเห็นก็จะจำได้ทันที เพราะสัญญาเดิมยังมีคงปรากฏมีอยู่กับจิต

ท่านก็ได้อ้างถึงพระป่าหลายรูปที่เคยเห็นสัมภเวสี และยังบอกว่าอย่าปลงใจเชื่อตามหลักกาลามสูตร แต่สามารถเข้าถึงเหตุผลในเรื่องนี้ได้ต้องเข้าถึงความจริง ด้วยการพัฒนาจิตตนเอง จนเข้าถึงปัญญาตัวที่สาม (ภาวนามยปัญญา) ได้แล้ว ความจริงในเรื่องนี้จึงจะอธิบายเป็นเหตุเป็นผลได้ ตามความคิดเห็นของผมถ้าเป็นพระก็อาบัติปาราชิก ถ้าสิ่งที่พูดไม่มีอยู่จริง ถึงมีอยู่จริงก็อาบัติ แต่นี่เป็นฆราวาสท่านจึงพูดได้ แต่ผมว่าก็ไม่ควรจะพูดเพราะไม่ใช่เรื่องที่ดับทุกข์แล้วทำให้ถกเถียงกันเสียมากกว่า

นี่คือสาเหตุหนึ่งที่ คนเรายังเข้าไม่ถึงหลักธรรมของศาสนาพุทธที่แท้จริง และยังคงมีความเชื่อเช่นนี้ไปตลอดกาลนาน โดยไม่พยายามศึกษาพระธรรมของพระพุทธเจ้าให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง และยัง


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 2 มี.ค. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ตราบใดที่ยังมีกิเลส ยังไม่ได้ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาด ถึงความเป็นพระอรหันต์ ก็ยังต้องมีการเกิดในภพต่างๆ อยู่ร่ำไป ยังเดินทางต่อไปอีกในสังสารวัฏฏ์ ดังนั้นเมื่อกล่าวอย่างกว้างๆ แล้ว ใครก็ตาม ที่ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ ก็ได้ชื่อว่าเป็นสัมภเวสีทั้งหมด เพราะคำว่า สัมภเวสี แปลตามศัพท์ได้ว่า ผู้แสวงหาการเกิด หมายความว่า เป็นผู้ยังต้องเกิดอีก

สัมภเวสี คือ การอุปมาโดยหมายถึง ผู้ที่ยังจะต้องเกิดอีก กล่าวโดยง่าย สัมภเวสี หมายถึงผู้ที่ยังมีกิเลส ผู้ที่ไม่มีกิเลสแล้วไม่ชื่อว่าสัมภเวสี เพราะฉะนั้น ปุถุชนที่เป็นมนุษย์ จนถึงพระอนาคามี เป็นสัมภเวสีอยู่ คือ ยังจะต้องเกิด และไม่ใช่เพียงมนุษย์เท่านั้น ครับ แม้แต่เทวดา ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ ผู้ที่เป็นเทวดา มีกิเลส ก็เป็นสัมภเวสี และแม้แต่สัตว์เดรัจฉาน ก็เป็นสัมภเวสี เพราะยังมีกิเลส ยังต้องเกิดอยู่

สัตว์โลก มีความแตกต่างกัน สัตว์บางพวกเกิดในภูมิที่มีขันธ์ ๕ ครบ ได้แก่ อบายภูมิ ๔, มนุษย์ภูมิ, สวรรค์ ๖ ชั้น และรูปพรหมภูมิ ๑๖ เว้น อสัญญสัตตาพรหม บางพวกเกิดในภูมิที่มีขันธ์เดียว (อสัญญสัตตาพรหมภูมิ) บางพวกเกิดในภูมิที่มีขันธ์ ๔ (เฉพาะนามขันธ์) คือ เกิดเป็นอรูปพรหมบุคคล ในอรูปพรหมภูมิ

เกิดเป็นสัตว์ในอบายภูมิ เป็นผลของอกุศลกรรม, เกิดเป็นสัตว์ในสุคติภูมิ ด้วยผลของกุศลกรรม, เกิดในรูปพรหมภูมิ เป็นผลของรูปฌานกุศล, เกิดในอรูปพรหมภูมิเป็นผลของอรูปฌานกุศล

วิญญาณล่องลอย ที่สมมติเรียกว่า สัมภเวสี ไม่มี เพราะ วิญญาณ คือ จิต ที่เกิดขึ้นและดับไป เป็นสภาพรู้ เพียงแต่ สัมภเวสี เป็นการแสดงโดยสมมติที่เป็นสัตว์บุคคลที่ยังมีกิเลส มีการเกิด ชื่อว่า สัมภเวสี ครับ

ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า ถ้าเกิดเป็นสัตว์ในภูมิที่มีขันธ์ ๕ ก็เป็นสัมภเวสีมีขันธ์ ๕ ทั้งที่เป็นนามธรรมและรูปธรรมเกิดขึ้นเป็นไป ถ้าเกิดในภูมิที่มีเพียงรูปธรรม ก็เป็นสัมภเวสีมีเพียงรูปขันธ์เกิดขึ้นเป็นไป ถ้าเกิดเป็นสัตว์ที่มีขันธ์ ๔ ก็เป็นสัมภเวสีมีเพียงนามขันธ์ ๔ (สัญญา เวทนา สังขาร และวิญญาณ) เกิดขึ้นเป็นไป ซึ่งเมื่อกล่าวโดยสภาพธรรมแล้ว ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน มีแต่ธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้นเป็นไป จึงไม่มีสัมภเวสีเร่รอน วิญญาณล่องลอยตามที่เราเข้าใจ เพราะเมื่อตายแล้วเกิดใหม่ทันที การได้มีโอกาสฟัง ศึกษาพระธรรม ย่อมจะทำให้เป็นผู้ที่เห็นถูก รู้ความจริงที่แท้จริงว่า คืออย่างไร ครับ

ประโยชน์ของการได้ยินเรื่องสัมภเวสี คือ เป็นเครื่องเตือนว่า แม้แต่ตัวเราเองในขณะนี้ ก็ยังจะต้องแสวงหาที่เกิด ยังเป็นสัมภเวสีอยู่ เพราะยังมีกิเลส การเกิดเป็นทุกข์ ควรที่จะอบรมปัญญา ศึกษาพระธรรม เพียรพยายามที่จะอบรมปัญญา เพื่อละความไม่รู้และละกิเลส อันเป็นเหตุที่จะต้องเกิด เป็นสัมภเวสี จนในที่สุด ก็ถึงการดับกิเลสได้หมดสิ้น เป็นพระอรหันต์ ไม่เป็นสัมภเวสีอีก ครับ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 2 มี.ค. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว จะมั่นคงในความถูกต้อง ไม่หวั่นไหวไปตามคำพูดที่ไม่ตรงตามความเป็นจริง เพราะได้เข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว และยังสามารถเกื้อกูลให้ผู้อื่นได้เข้าใจถูกเห็นถูกด้วย ตราบใดที่ยังมีกิเลสอยู่ ตายแล้วเกิดทันที ซึ่งก็คือ ความเกิดขึ้นเป็นไปของธรรม ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ความเป็นจริงของสภาพธรรมไม่เคยเปลี่ยน เป็นจริงอย่างไรก็เป็นจริงอย่างนั้น

ตราบใดที่ยังมีกิเลส ยังไม่ได้ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาดถึงความเป็นพระอรหันต์ก็ยังต้องมีการเกิดในภพต่างๆ อยู่ร่ำไป ยังเดินทางต่อไปอีกในสังสารวัฏฏ์ ดังนั้น เมื่อกล่าวอย่างกว้างๆ แล้ว ใครก็ตามที่ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ ก็ได้ชื่อว่า เป็นสัมภเวสี ทั้งหมด เพราะคำว่า สัมภเวสี แปลตามศัพท์ได้ว่า ผู้แสวงหาการเกิด หมายความว่า เป็นผู้ยังต้องเกิดอีก ตามข้อความที่ว่า

[เล่มที่ 17] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่มที่ ๑๗ -หน้าที่ ๕๖๖, ๕๖๗

เหล่าสัตว์ที่เสาะหา คือ แสวงหาการสมภพ คือ การเกิด ได้แก่ การบังเกิดขึ้น ชื่อว่า สัมภเวสี.

สัตว์เหล่าใด กำลังแสวงหาการเกิด สัตว์เหล่านั้น ชื่อว่า สัมภเวสี, คำว่า สัมภเวสี นี้ เป็นชื่อของพระเสขะและปุถุชนผู้กำลังแสวงหาการเกิดต่อไป เพราะยังละสังโยชน์ในภพไม่ได้ (คือ ละความติดข้องในภพ ยังไม่ได้) .

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
peem
วันที่ 2 มี.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
papon
วันที่ 2 มี.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
thilda
วันที่ 4 มี.ค. 2558

ความเห็นเช่นนี้มีมาก และยังคงมีการเผยแพร่อยู่ แต่ก่อนก็ไม่ทราบแน่ชัดว่าจริงหรือไม่ แต่มีความนับถือตัวบุคคล แม้ไม่แน่ใจ ก็ดูจะค่อนไปทางเชื่อค่ะ คนที่รับฟังร่วมกันก็คงคิดแบบนี้เช่นกัน ทั้งนี้เพราะไม่ได้ศึกษาพระธรรมนั่นเอง

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
wannee.s
วันที่ 6 มี.ค. 2558

การแสวงหาของมนุษย์มี 2 อย่าง

1. แสวงหาทรัพย์

2. แสวงหาปัญญา

พระพุทธเจ้าตรัสว่า การแสวงหาปัญญาประเสริฐที่สุด ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Jarunee.A
วันที่ 3 ก.พ. 2567

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ