การละนันทิ จะทำให้พ้นจากการเกิดได้หรือไม่

 
vilaiporn
วันที่  2 ก.ย. 2558
หมายเลข  26975
อ่าน  1,804

ขอเรียนถามท่านอาจารย์คะ

มีคำสอนที่ว่า เมื่อเราให้จิตอยู่กะลมหายใจเข้าออก และเมื่อมีความเผลอเพลิน ความคิดเกิดขึ้น ก็ให้ละและดึงจิตมาอยู่กะลมหายใจเข้าออก หรืออีกนัยหนึ่งท่านสอนว่า การที่เราจะมีภพเกิดเพราะ จิตไปเกิดดับในขันธ์ห้า ยึดติดในขันธ์ห้า ขันธ์ใดขันธ์หนึ่งตลอดเวลา ถ้าเราให้จิตเกาะแค่รูปคือลมหายใจเป็นที่ตั้งขณะปฏิบัติ เราจะเห็นการเกิดดับของวิญญาณในขณะที่ไปเกาะขันธ์อื่นๆ เมื่อเราเห็นการเกิดดับบ่อยๆ จะทำให้เราเห็นว่าเป็นแค่ธรรมเราจะไม่ยึด เมื่อเราไม่ยึด จะทำให้เราดับภพชาติได้ . และถ้าหากเราตั้งจิตไว้ที่ลมหายใจจนจุติจิตเกิด จะทำให้เราไม่เกิดอีก ขอความกรุณาอาจารย์ช่วยอธิบายสิ่งที่ถูกต้องให้ด้วยคะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 2 ก.ย. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

การศึกษาธรรมต้องเป็นผู้ละเอียดไม่เผิน และ สอดคล้องตามความเป็นจริง แม้แต่คำว่าอนัตตา ที่มักได้ยินกันบ่อยๆ ในพระพุทธศาสนา คือ ไม่มีเรา ไม่มีตัวตนและไม่สามารถบังคับบัญชาได้ ก็ต้องจริงตั้งแต่ต้น แม้ในขั้นการปฏิบัติ ก็ต้องจริงอย่างนั้น คือ เป็นอนัตตาแม้ขณะที่ปฏิบัติด้วย นั่นคือ อะไรปฏิบัติ อนัตตา คือ ไม่ใช่เราปฏิบัติ แต่เป็นธรรมที่ดีงาม มีสติและปัญญาที่รู้ความจริง ในขณะนั้น จึงเรียกว่าปฏิบัติ และ บังคับบัญชาไม่ได้ คือ ไม่มีเรา ที่จะไปบังคับให้สติเกิดตรงนั้นตรงนี้ ให้ปัญญาเกิดรู้ตรงนั้นตรงนี้ เพราะฉะนั้น การเจริญอบรมปัญญา จึงเป็นเรื่องของสภาพธรรมที่จะทำกิจหน้าที่เอง ไม่ใช่เรา แม้แต่การปฏิบัติ การเลือกรู้ ลมหายใจ ก็เป็นการแสดงถึงการบังคับ เจาะจง ไม่ใช่ความเป็นอนัตตา แต่เป็นอัตตา เราที่จะเลือก รู้ในกรรมฐานใด กรรมฐานหนึ่ง และ หากศึกษาโดยละเอียดก็จะรู้ว่าปัญญาเป็นไปตามลำดับ ไม่ใช่เห็นการเกิดดับก่อน แต่ต้องเห็นลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นนามธรรม รูปธรรมว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น การรู้ความจริง การอบรมปัญญา ก็ต้องเริ่มจากการฟังที่ถูกต้อง เริ่มจากแม้แต่คำว่า ธรรมคืออะไร เพราะถ้าเข้าใจคำว่า ธรรม ถูกต้องตามความเป็นจริง ก็จะไม่ไปเลือก ไปทำ เพราะเข้าใจว่า แม้ธรรมก็อนัตตา แต่ จะอบรมปัญญาขั้นการฟัง ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา และ ไม่ต้องทำอะไร ธรรมจะปฏิบัติหน้าที่เอง ครับ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
vilaiporn
วันที่ 2 ก.ย. 2558

ขอบพระคุณอาจารย์ และ อนุโมทนาคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
vilaiporn
วันที่ 2 ก.ย. 2558

อาจารย์คะ ขณะที่มีการเห็น เริ่มที่สีกระทบจักขุปาสาท แล้วกระทบจิต ทำให้วิถีจิตขณะต่อไปเกิด สติปัฏฐานจะเกิดระลึกรู้ว่าเป็นเพียงสภาพเห็น ขณะวิถีจิตไหนคะ ... และเราจะเห็นเป็นโต้ะ เก้าอี้ ขณะวิถีจิตไหนคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
paderm
วันที่ 2 ก.ย. 2558

เรียนความเห็นที่ 3 ครับ

ขณะจิตที่ทางมโนทวารสามารถเกิดระลึกรู้ สภาพธรรมที่เห็นได้ ครับ และ การคิดนึกเป็นโต๊ะ เก้าอี้ คือ ทางใจ ทางมโนทวาร ในวาระต่อๆ ไป ครับ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
khampan.a
วันที่ 2 ก.ย. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ต้องตั้งต้นจริงๆ เพราะเหตุว่า ธรรม เป็นเรื่องยาก เป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่เหลือวิสัยที่จะเข้าใจได้ ต้องอาศัยการฟังพระธรรม บ่อยๆ เนืองๆ ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อยจริงๆ เพราะถ้าไม่มีความเข้าใจตั้งแต่ต้น ก็ไม่สามารถที่สติปัฏฐานจะเกิดขึ้นระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงได้เลย และไม่สามารถละกิเลส มี ความติดข้องต้องการ เป็นต้นได้เลย และที่สำคัญต้องไม่ลืมว่า สิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ที่เกิดขึ้นเป็นไปเป็นปกติในชีวิตประจำวันนี้แหละที่เป็นที่ตั้งให้ปัญญาเข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริงได้ ซึ่งไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่เป็นจิต เจตสิก รูป ดังนั้น จึงต้องค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ ศึกษา ไม่ขาดการฟังพระธรรม ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
doungjai
วันที่ 2 ก.ย. 2558

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
vilaiporn
วันที่ 2 ก.ย. 2558

ขอบพระคุณอาจารย์ และอนุโมทนาคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
kullawat
วันที่ 2 ก.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
nopwong
วันที่ 4 ก.ย. 2558

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
wannee.s
วันที่ 4 ก.ย. 2558

ถ้าเริ่มต้นผิด ไม่ใช่ทางที่ถูก หนทางที่ถูกต้องมีปัญญาประกอบด้วย ต้องฟังต้องศึกษาอีกมากจนกว่าจะเข้าใจและเข้าถึงธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
Jarunee.A
วันที่ 29 ส.ค. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ