ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณณภัทร เรืองจันทฤทธิ์ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๘

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  22 พ.ย. 2558
หมายเลข  27251
อ่าน  2,260

เมื่อวันศุกร์ ที่ ๑๓ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๘ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้รับเชิญจากคุณณภัทร เรืองจันทฤทธิ์ เพื่อไปสนทนาธรรมที่บ้านพัก ในหมู่บ้านพร้อมพัฒน์ ใกล้ๆ กับซาฟารีเวิลด์ ถนนรามอินทรา กรุงเทพมหานคร พร้อมๆ กับพี่ชาย ญาติ เพื่อนสนิท และสหายธรรมที่คุ้นเคยอีกจำนวนหนึ่ง

มีอาทิ คุณปริญญาและพี่เบญจมาส ซึ่งมีบ้านอยู่ใกล้ๆ กัน พี่แดงและพี่สงบ เป็นพี่ที่มีเมตตาสนทนาธรรมยามค่ำและยามว่างกับน้องๆ กลุ่มนี้บ่อยๆ เมื่อมีโอกาสเดินทางไปสนทนาธรรมกับท่านอาจารย์ร่วมกันในที่ต่างๆ มีท่านจักรกฤษณ์และคุณแอ๋ว ที่มีกุศลศรัทธาสม่ำเสมอในการติดตามท่านอาจารย์ไปสนทนาธรรมในที่ต่างๆ โดยในวันนี้ คุณแอ๋วทำเค้กวันเกิดและเค้กช๊อคโกแลตโรยผงทองคำ น่ารับประทานมากๆ มาฝากเจ้าภาพและพวกเราได้รับประทานด้วย

นอกจากนั้น ยังมีคุณเอ๋ (สุภัทรา ใจชาญสุขกิจ) ภริยาของท่านผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรสงครามคนใหม่ เจ้าของร้านคาวบอยคาเฟ่ นำอาหาร และ หมูตุ๋นพริกสดรสแซ่บหม้อใหญ่ยักษ์มาจากร้านก๋วยเตี๋ยวพริกสด ที่คุณเอ๋เพิ่งเปิดกิจการใหม่ ที่ตลาดศรีเมือง จังหวัดราชบุรี พร้อมลูกมืออีกสองคน มาเตรียมอาหารกลางวันไว้บริการทุกคนอย่างเต็มที่ คุณแอ๊ว (นภา จันทรางศุ) นำลูกชิ้นหมูเจ้าอร่อยจากแพร่งนรา มาทอดให้ได้รับประทานกันร้อนๆ กับน้ำจิ้มอร่อยเข้มข้น ที่สำคัญ คุณแม่ของคุณแอ๊วยังปรุงน้ำยาปู รสชาติอร่อยเข้มข้นนุ่มนวลแบบไทยแท้ๆ ข้นด้วยเนื้อปูและเนื้อปลาที่หอมหวนชวนรับประทานมากๆ มาให้รับประทานกันอย่างจุใจ

คุณณภัทร เรืองจันทร์ฤทธิ์ เป็นคนหนุ่มที่ใฝ่ใจในพระศาสนาเป็นอย่างมาก เคยเล่าความเป็นมาของตนเองก่อนที่จะได้พบกับท่านอาจารย์ในที่สนทนาธรรม เท่าที่ข้าพเจ้าพอจะจำได้ว่า แต่ก่อนที่จะมาพบท่านอาจารย์ ได้ไปปฏิบัติมาหลายสำนัก แม้เมื่อมาซื้อบ้านหลังนี้ ยังได้ทำห้องพระเพื่อสำหรับไว้นั่งสมาธิโดยเฉพาะด้วย แต่เพราะบุญที่ได้กระทำแล้วแต่ปางก่อน ทำให้ได้พบกับคณะของท่านอาจารย์ที่อินเดีย และมีความสนใจติดตามมาฟังท่านที่มูลนิธิฯแต่นั้นมา ปัจจุบัน นอกจากคุณณภัทรจะเลิกนั่งสมาธิโดยเด็ดขาดแล้ว ยังมีความปรารถนาดี เป็นมิตรที่ดีต่อเพื่อนๆ สนิทเป็นอย่างมาก เมื่อได้ทราบและเริ่มมีความเข้าใจในพระธรรมคำสอนที่ถูกต้อง จึงพยายามที่จะชักชวนและเกื้อกูลประการต่างๆ แก่เพื่อนๆ ที่สนิทสนมคุ้นเคย เพื่อให้ได้เข้าใจถึงความจริงที่ถูกต้องในพระธรรม ที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงมีพระมหากรุณาแสดงไว้ ซึ่งท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ มีเมตตานำมาถ่ายทอด อธิบายให้พวกเราได้เข้าใจได้

นอกจากนั้น คุณณภัทร ยังเป็นผู้ที่มีกตัญญูแก่บิดามารดา ญาติพี่น้อง เป็นอย่างยิ่ง ที่เห็นได้คือ คุณณภัทร นำพี่ชายซึ่งปัจจุบันป่วยเป็นอัมพฤกษ์ มาอยู่ด้วย โดยทำการต่อเติมสร้างห้องพักที่มีห้องน้ำในตัว อย่างสวยงามเป็นการส่วนตัว พร้อมเครื่องอำนวยความสะดวกพรั่งพร้อมบริบูรณ์ คุณภริยาของข้าพเจ้าเล่าว่า แอบเห็นปิ่นโตบรรจุอาหารของร้าน S&P ในห้องของพี่คุณณภัทร เรียงเป็นตั้ง เพราะเหตุที่คุณณภัทรเป็นสจ๊วตการบินไทย ต้องบินไปโน่นมานี่ตลอด จึงผูกปิ่นโตจากร้านหรูไว้ให้พี่ชายรับประทาน ฟังแล้วรู้สึกอนุโมทนาคุณภัทรมากๆ ครับ อนึ่ง ในวันนี้ นอกจากคุณณภัทร จะได้ชักชวนเพื่อนสนิทมาฟังการสนทนาธรรม (ไม่รวมถึงน้องติ๊ก อมรรัตน์ แอร์คนสวยจากการบินไทย และ น้องกุ้ง ทัศนีย์ สารวัตรคนสวยจากกรมตำรวจ เพื่อนที่สนิทที่สุดของคุณภัทร ซึ่งอดตาหลับขับตานอนมาช่วยจัดเตรียมบ้านเพื่อการสนทนาธรรมในวันนี้) คุณภัทรยังเชิญคุณป้าและคุณน้าสาวทั้งสามท่าน มาฟังการสนทนาธรรมด้วย ซึ่งคุณน้าของคุณภัทรทั้งสามท่านเดินทางมาจากจังหวัดลำปาง มีท่านหนึ่งเกษียณจากพยาบาลโรงพยาบาลศิริราช ได้ร่วมสนทนาและตอบคำถามกับท่านอาจารย์ด้วยความสนใจมาก ทำให้การสนทนาดูอบอุ่น น่าชื่นใจจริงๆ ครับ

เมื่อเขียนถึงตอนนี้ ก็นึกถึงธรรมะที่ได้ฟังเมื่อวาน ซึ่งท่านอาจารย์กล่าวถึงความหมายของคำว่ามิตร ซึ่งเมื่อได้ฟังแล้วรู้สึกประทับใจมาก จึงได้ถอดความเก็บไว้ เมื่อเขียนถึงความเป็นมิตรเป็นเพื่อนของคุณณภัทรที่ได้พบเห็นมาโดยตลอด จึงจะขอนำข้อความที่ได้ถอดไว้จากการฟังเมื่อวานนี้ มาแบ่งปันให้ทุกๆ ท่านได้พิจารณา ก่อนที่จะได้ชมภาพและความการสนทนาในวันนั้น ดังนี้

ข้อความเรื่อง "มิตร" จากพื้นฐานพระอภิธรรม แผ่นที่ ๑๑ ตอนที่ ๖๐๔ โดยท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

"...มิตรแท้ คือ ผู้ที่หวังดี พร้อมที่จะทำประโยชน์เกื้อกูล ทุกสถาน ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจ นั่นคือมิตร ผู้หวังดี

ในสังสารวัฏ ก็คงจะมีมิตร แล้วก็มีศัตรู แน่นอน!! แม้ในปัจจุบันชาตินี้หรือชาติต่อๆ ไป ก็จะมีทั้งคนที่หวังดี แล้วก็หวังร้าย ถ้าเป็นศัตรู ก็ตรงกันข้ามทุกประการ ทั้งกาย วาจา ที่ประพฤติต่อบุคคลนั้น ก็เป็นในทางที่ ทำลายและทำร้าย นั่นคือ ศัตรู

เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า ถ้าเราสามารถที่จะเข้าใจพระธรรมจริงๆ ด้วยปัญญา ที่มีความเห็นถูกต้อง เราก็จะรู้ตั้งแต่ต้น ว่าใครเป็นมิตร และ ใครไม่เป็นมิตร...ในพระสูตรนี้ "มิตร" ก็หายากแล้ว ใช่ไหม? หรือหาง่าย? ตามกาลด้วย ตามสถานการณ์ด้วย แต่ยังทรงแสดงถึง "กัลยาณมิตร" เพิ่มขึ้นมาอีก "กัลยาณมิตร" จะต่างกับ "มิตร" ไหม? ต้องต่างแน่!! ใช่ไหม? เพราะว่ามิตร ก็อาจจะช่วยกันในสังสารวัฏ ไม่ว่าในเรื่องการงาน ในธุรกิจ ในอะไรก็ตามแต่ ความเป็นอยู่ ฯลฯ

แต่ "กัลยาณมิตร" ต้องเหนือกว่ามิตร เพราะเหตุว่า สามารถให้สิ่งที่มิตรให้ไม่ได้ มิตรที่ให้กันมาแล้วในสังสารวัฏ ก็ให้ความสะดวกสบาย ให้การอุปการะ ให้ประโยชน์ แต่ "กัลยาณมิตร" เป็นมิตรที่งาม เหนือกว่ามิตรธรรมดา ให้สิ่งที่คนอื่นให้ไม่ได้ คือ ปัญญา!!! มีมิตรที่ให้ปัญญาเมื่อไหร่ เมื่อนั้นรู้ได้ว่า บุคคลนั้น เป็นกัลยาณมิตร สูงสุดคือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

ท่านอาจารย์ คุณปริญญา เดี๋ยวนี้นั่งกรรมฐานหรือเปล่า?

คุณปริญญา ไม่เคยนั่งกรรมฐานครับ

ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้!! นั่งกรรมฐานหรือเปล่า?

คุณปริญญา เดี๋ยวนี้ "ฟัง" เป็นกรรมฐานครับ

ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้!! "นั่ง" นี่ เป็นกรรมฐานหรือเปล่า?

คุณปริญญา เป็นกรรมฐานครับ

ท่านอาจารย์ "ปัญญา" รู้อะไร?

คุณปริญญา รู้ว่า "เสียง" ก็มีจริง

ท่านอาจารย์ แค่นี้...เป็นกรรมฐานหรือ? ปริยัติ ปฏิปัตติ ปฏิเวธ

คุณปริญญา ถ้าแค่นี้ ยังไม่เป็นกรรมฐานครับท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ขณะนี้ เดี๋ยวนี้ นั่งกรรมฐานหรือเปล่า?

คุณปริญญา ไม่นั่งกรรมฐานครับ

ท่านอาจารย์ ค่ะ ใครนั่งกรรมฐานบ้างคะ? ต้องเป็นปัญญา!!! ปัญญาระดับไหน? ไม่ใช่ปริยัติ!!!

การฟังพระธรรม ต้องละเอียด ต้องเข้าใจถูก ถ้าบอกว่า เดี๋ยวนี้ ปฏิปัตติ อะไรเป็นกรรมฐาน? อะไรเป็นฐานของการกระทำ? การกระทำของใคร? ของปัญญา!!! ไม่ใช่เรานั่งเฉยๆ แล้วเราบอก นี่เป็นกรรมฐาน!!! เขาไปนั่งหลับตากันเยอะ!!! "เขาไปนั่งกรรมฐาน" แต่ "ปัญญา" รู้อะไร????

คุณปริญญา ต้องนั่งแล้วรู้ด้วย ว่า...

ท่านอาจารย์ เป็นเรื่องของปัญญา!!! ถ้าปัญญายังไม่ได้เข้าใจปริยัติ จะไม่มีปฏิปัตติ แน่นอน!!!

เพราะฉะนั้น ได้ยิน "คำ" เข้าใจคำแปล "กรรม" คือ การกระทำ, "ฐาน" เป็นที่ตั้ง เข้าใจแล้ว!! เข้าใจแล้ว!! ถูกหรือ??? คะ??? แค่ได้ยินคำแปลอย่างนี้ บอกเข้าใจแล้ว!! ถูกหรือ??? กรรม คือ การกระทำ ของอะไร? และ ฐานะ เหมือนฐานะอะไร? ตั้งเพื่ออะไร? อย่าง เพื่อปัญญาเข้าใจถูก ถ้าไม่ตั้งที่สภาพธรรมะนั้น ปัญญาจะเจริญและสามารถประจักษ์ความจริง ได้ไหม?

ปริยัติ ปฏิปัตติ ปฏิเวธ โดยเฉพาะ ปฏิปัตติ ต้องเป็นมรรคมีองค์ ๘ ไม่ใช่เรา!!! ตั้งต้น เริ่มด้วย สัมมามรรค ความเห็นถูก ถ้าความเห็นถูกไม่มี แล้วเราจะไปนั่งกรรมฐาน หรือคิดว่า ขณะนี้ เป็นกรรมฐาน ไม่ได้!! ขึ้นอยู่กับ "ปัญญา" ถ้าปัญญาไม่เกิด ไม่เข้าใจ สิ่งนั้นจะเป็นที่ตั้งให้ปัญญาสามารถรู้ความจริงของสิ่งนั้น ละคลายการยึดถือสิ่งนั้น ว่าเป็นเรา ได้หรือ?

เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรม ต้องละเอียด ถามได้ ซักได้ เพื่อที่จะได้สนทนาให้แจ่มแจ้ง อย่าเพิ่งคิดว่าเข้าใจแล้ว และต้องเป็นผู้ที่ตรง จึงสามารถที่จะได้สาระจากพระธรรม มิฉะนั้น ก็คิดว่า เข้าใจแล้ว ใช่ไหม? แต่ว่าความจริง "เขาบอก" เท่านั้นไม่ได้!! ต้องเป็นความเข้าใจถูกต้องจริงๆ แล้วก็ต้องไม่ลืม ปริยัติไม่มี จะไม่ถึงปฏิปัตติ!!!

"ปฏิปัตติ" การกระทำ คือ การ "ถึงเฉพาะ" อะไรถึง? สติและสัมปชัญญะ!! ต้องทั้ง "สติและปัญญา" ที่มั่นคงในปริยัติ จึงเป็น"สัจจญาณ" เป็นปัจจัยให้เกิด "กิจจญาณ" ซึ่งไม่ใช่เรา!!! กิจของอะไร? ของ "มรรค" สัมมาทิฏฐิ , สัมมาสังกัปปะ ซึ่งพวกนี้ยังไม่รู้เลย ว่าอะไร? แต่คล่อง จำไว้ แล้วบอกได้ด้วย

การศึกษาธรรมะ ไม่ใช่ จำคำ, ชื่อ , เรื่อง แต่เป็นการเข้าใจถูกต้อง!! ที่มั่นคงขึ้น!! รอบรู้ขึ้น!! มิฉะนั้น จะไม่มีคำว่า "รอบรู้" แค่ได้ยิน รอบรู้หรือยัง? ยัง!!! ต้องรู้ตามความเป็นจริง ไม่พอ ยังไม่พอ จนกระทั่งมีความเข้าใจแจ่มแจ้ง คือ ถึงลึกซึ้ง ในความจริงของธรรมะ

อย่าง "กรรมฐาน" ก็ต้องเข้าใจให้ถูกต้อง การกระทำของอะไร? อยู่ดีๆ "เรา" หรือ? หรือว่า "ปัญญา" ที่มั่นคงแล้ว ที่รู้ว่า ขณะนี้เป็นธรรมะ!! ไม่ต้องไปไหน เพราะว่ากำลังเกิดดับอยู่ ถ้าไป ก็ไม่รู้ความจริงของสภาพธรรมะที่เกิดแล้ว ผู้ที่ได้ฟังพระธรรมในครั้งพุทธกาล ไม่ได้ไปไหน!! แต่มีข้อความในมหาสติปัฏฐานสูตร จะมีข้อความว่า "ไปแล้วสู่ป่า" ใครไปสู่ป่า? พระภิกษุ!!! ไม่มีบ้าน

เพราะฉะนั้น พุทธบริษัท ต่างกัน!!! เป็นภิกษุผู้สละอาคารบ้านเรือน สมัยโน้น มีภิกษุณีด้วย เพราะเหตุว่า ภิกษุณีในครั้งนั้น สามารถถึงความเป็นพระอรหันต์ เพราะว่า เมื่อถึงความเป็นพระอรหันต์ ดับกิเลสหมดแล้ว ไม่อยู่บ้านแน่ อยู่ไม่ได้กับชาวบ้าน คนละเรื่องเลย แต่ถ้ายังไม่ถึงพระอรหันต์ บรรลุคุณธรรมเป็นพระอนาคามีบุคคล ไม่บวชได้ นี่ก็แสดงว่า เพศภิกษุ เพื่อถึงความเป็นอรหันต์ เพราะเหตุว่า เมื่อบรรลุคุณธรรมเป็นพระอรหันต์ ดับกิเลสแล้ว จะไม่อยู่บ้าน ไม่ครองเรือน

เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจ แม้แต่พยัญชนะที่ว่า "ไปแล้วสู่ป่า" เป็นปรกติ!!! ของผู้ที่ไปแล้วสู่ป่า!! ไม่ใช่ป่าก็ได้ ที่ไหนก็ได้ เพราะอะไร? ธรรมะมีจริงๆ ขณะนี้!!! ปัญญา สามารถเข้าถึงลักษณะนั้น โดยความเป็นอนัตตา ว่า ไม่ใช่เราจะไปปฏิบัติ จะไปเข้าห้อง จะทำกรรมฐาน ไม่ใช่เลย!!! ถ้าเป็นอย่างนั้นก็คือว่า ไม่ได้เข้าใจธรรมะ!!!

เพราะฉะนั้น ธรรมะจะลบเลือน เมื่อเข้าใจผิด หรือว่า ไม่ได้เข้าใจเลย!!! เช่น กรรมฐาน ไม่เข้าใจเลย ก็ไปนั่ง สร้างห้องกรรมฐาน ปฏิบัติกรรมฐาน ถ้าจะกล่าวตรงๆ ความเห็นผิด ทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และ ใครก็ทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ นอกจากพุทธบริษัท!!!

ไม่ว่าใครทั้งนั้นที่บอกว่านับถือพุทธศาสนา แต่ว่าไม่เข้าใจธรรมะ ผู้นั้นกำลังทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า!!! เพราะพูดเอง ตามความคิดของตนเอง!!! แล้วชักชวนให้คนอื่นเชื่อตามด้วย!!!

เพราะฉะนั้น ที่กล่าวว่า มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง (พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ) จะรู้คุณของพระรัตนตรัย เมื่อเข้าใจพระธรรม!!! ถ้าไม่เข้าใจพระธรรม ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คิดว่า นี่แหละ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ละชั่ว ทำความดี ชำระจิตให้บริสุทธิ์ ใครก็พูดได้!!! แต่ผู้พูดที่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องต่างกับคนอื่น แม้เป็นคำเดียวกัน แต่สัมมาสัมพุทธ ที่ทรงตรัสรู้ตามความเป็นจริง "ธรรมะทั้งหลาย เป็นอนัตตา"

เพราะฉะนั้น ละชั่วได้หรือ? ถ้าไม่เข้าใจ และยังมี "ความเป็นเรา" ก็ไม่ได้เข้าใจเลยว่า เป็นธรรมะ เป็นอนัตตา!! อย่างนี้ ชื่อว่า รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า?

มีข้อความในพระไตรปิฎก...แม้เดินตามหลังและจับชายจีวรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไม่เห็นธรรมะ ผู้นั้นไม่เห็นพระองค์แต่แม้ว่าผู้ใดจะอยู่แสนไกล แต่เข้าใจธรรมะ ผู้นั้นเหมือนอยู่ใกล้!!!

เพราะฉะนั้น ๒,๕๐๐ กว่าปีมาแล้ว ที่ตรัสกับผู้ฟังในครั้งนั้น ทุกคำ จารึกไว้ ยังเหลือมาถึงสมัยนี้ ที่เรามีโอกาสได้ฟังธรรมะจากพระโอษฐ์ ไม่ใช่จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยตรง เพราะปรินิพพานไปแล้ว แต่ธรรมะจากพระโอษฐ์ที่ได้ตรัสไว้ดีแล้ว ไม่เปลี่ยน!!! เห็นธรรมะเมื่อไหร่ นี่คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่มีโอกาสให้เราได้เข้าใจ แม้คำว่า "ธรรมะ" ไม่คลาดเคลื่อน ไม่เข้าใจผิด เป็นสิ่งที่หายากยิ่ง รัตนะที่ประเสริฐสุด เพราะเหตุว่า รัตนะอื่น ก็เป็นแต่เครื่องประดับกาย ใช่ไหม? แล้วอย่างไร? ตัวคนที่ประดับ กิเลสเต็ม แต่ว่ารัตนะนี้ เงินซื้อไม่ได้ ขอไม่ได้ ยืมไม่ได้ ให้ใครก็ไม่ได้!!! แต่ผู้นั้น ได้จากพระโอษฐ์ ที่ได้ตรัสไว้ดีแล้ว เพื่อที่จะให้เราสามารถที่จะเข้าใจได้

เพราะฉะนั้น เป็นสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าสิ่งอื่นใดในโลก เพราะอะไร? เราต้องจากโลกนี้ไปแน่ ใช่ไหม? ใครก็ไม่รู้ว่าจะไปวันไหน? ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ได้ติดตามไปเลย รัตนะ เครื่องประดับทั้งหลายก็อยู่ในโลกนี้แหละ เอาไปไม่ได้ แม้ร่างกาย ตั้งแต่ศีรษะ จรดเท้า จะเอาไปสักหนึ่ง ก็ไม่ได้ เอาตาไปก็ไม่ได้ เอาหูไปก็ไม่ได้ เอาอะไรไปไม่ได้เลย สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ ใช้คำว่า สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ จะไม่กลับเป็นคนนี้อีกเลย

เพราะฉะนั้น กรรมที่ได้กระทำแล้ว หนึ่งกรรม พร้อมที่จะทำให้เกิด หลังจากที่จิตขณะสุดท้ายของชาตินี้ดับ ทำกิจเคลื่อนพ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ เมื่อจิตนี้ดับแล้ว จะกลับเป็นคนนี้อีกไม่ได้เลย ไม่มีทางเลย สิ้นสุดกรรมที่ทำให้เป็นคนนี้ แต่กรรมหนึ่งที่สะสมมา ก็จะเป็นปัจจัยที่ทำให้จิตเกิดสืบต่อทันที ไม่มีระหว่างคั่นเลย

จิตขณะนี้ เกิดดับสืบต่อมาแสนโกฏิกัปป์ ไม่มีระหว่างคั่นเลย จากโลกนี้ไปแล้ว ก็จะเป็นใครหรืออะไร เป็นไปได้หมด แล้วแต่กรรม ถึงมาเป็นคนนี้ในชาตินี้ ก็เพราะกรรม ไม่ได้เคยขอเลย ใช่ไหม? ขอให้เป็นคนอย่างนี้ๆ ชาตินี้ ก็ไม่ได้ขอ ขออย่าเป็นอย่างนี้ อย่างนี้ ก็ไม่ได้ เพราะเหตุว่า เมื่อเหตุมี ผลก็ต้องมี เป็นไปตามเหตุ นี่คือ ธรรมะ ซึ่งเป็นปรมัตถธรรม ซึ่งเป็นอภิธรรม

ถ้ามีความเคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสูงสุด ต้องไม่คิดเอง!!! ฟังธรรมะทุกคำ ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ไตร่ตรอง สอดคล้องกันหมด ทั้งพระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ตามกำลังความสามารถ ไม่ใช่ให้เราเที่ยวไปรู้ปัจจัยโน้น ปัจจัยนี้ มากมาย พระโสดาบันมีกี่ประเภท พันกว่าประเภทหรืออะไรอย่างนี้ ไม่ใช่อย่างนั้น!!! รู้เพื่ออะไร? ไม่ได้รู้ธรรมะ!!! เรื่องราวทั้งหมด ซึ่งพอจากโลกนี้ไปแล้วก็ลืม ชาติก่อนนี้พูดอะไรไว้บ้าง? พูดแน่ๆ แต่ไม่รู้ว่าพูดอะไร ใช่ไหม? ชาตินี้ก็พูด ใช่ไหม? แล้วชาติต่อไปก็พูดอีก คนละภาษาก็ได้ ลืมหมดเลย!! ชาตินี้พูดอะไรไว้

เพราะฉะนั้น เพียง "คำ" ไม่ใช่ "ความเข้าใจ" ไม่มีประโยชน์!!! แต่ความเข้าใจ เป็นปัญญา สะสมอยู่ในจิต จากการฟังเข้าใจ ฟังต่อไป เข้าใจอีกแน่นอน!!! แล้วก็เข้าใจอีก เข้าใจอีก จนกระทั่ง เป็นความเข้าใจที่รู้ว่า ใครเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมที่ทรงแสดงไว้ เป็นรัตนะสูงสุดเพราะเหตุว่า สามารถที่จะทำให้ผู้เข้าใจแล้ว รู้ความจริงได้ จนดับกิเลสได้ ถึงความเป็นสังฆรัตนะ

สังฆรัตนะ ไม่ใช่คนที่เป็นภิกษุแต่ไม่รู้ธรรมะ และไม่ประพฤติ ปฏิบัติ ตามพระธรรมวินัย "สังฆรัตนะ" คือ ผู้ที่รู้แจ้งสภาพธรรมะ ดับกิเลส ถึงความเป็นพระโสดาบัน ถึงความเป็นพระสกทาคามีบุคคล ถึงความเป็นพระอนาคามีบุคคล ถึงความเป็นพระอรหันต์ คือ ผู้ที่ดับกิเลส ตามลำดับขั้น เพราะกิเลสมีเยอะ ดับทีเดียวหมดไม่ได้เลย แต่กิเลสที่ต้องดับก่อน คือ ความเห็นผิด การยึดถือสภาพธรรมะว่าเป็นตัวตน เพราะว่า ถ้ามีความสำคัญ ยึดถือสภาพธรรมะว่าเป็นตัวตน กิเลสทั้งหลายมา เพราะเราต้องการไม่สิ้นสุด ไม่จบ จึงมีการทุจริตต่างๆ มีการประพฤติในสิ่งที่ไมถูกต้อง แล้วก็เป็นเหตุที่จะนำไปสู่ความเสื่อม ไม่ใช่ความเจริญ!!!

เพราะฉะนั้น จากการฟัง เข้าใจแล้ว ก็สามารถที่จะรู้ได้ ว่าเมื่อไหร่ฟังธรรมะ ต้องเข้าใจด้วย!!! ย่าผ่านไป!! จึงฟังแล้ว ฟังอีก ถ้าไม่เข้าใจ ก็ฟังอีก จนกว่าจะเข้าใจ ตรงด้วย สอดคล้องด้วย กับพระธรรมอื่น และทั้งหมด ที่ลืมไม่ได้ คือ เป็นไปเพื่อ "ละ" ละอกุศล ละความไม่รู้ ละความเห็นผิด

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณณภัทร เรืองจันทฤทธิ์

และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 22 พ.ย. 2558

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณณภัทร เรืองจันทร์ฤทธิ์

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งาม

และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
swanjariya
วันที่ 22 พ.ย. 2558

กราบอนุโมทนาขอบพระคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาขอบคุณท่านผู้ดำเนินการ

ให้มีการสนทนาธรรมครั้งนี้

(คุณณภัทร เรืองจันทร์ฤทธิ์) และญาติมิตร

ขออนุโมทนาขอบคุณ คุณวันชัย ภู่งาม ที่นำเสนอสาระของการสนทนาธรรมและภาพอันงามยิ่ง

ขออนุโมทนากับทุกท่านที่ร่วมฟังสนทนาธรรม

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
กมลพร
วันที่ 22 พ.ย. 2558

กราบท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และ อนุโมทนาในกุศลของท่านเจ้าของบ้านที่ได้เชิญท่านอาจารย์ แสดงพระธรรม แต่ก่อนดิฉันก็เคยพากเพียรในการ นั่งสมาธิ ก็ต้องยอมรับว่า จำได้ว่าไม่เคยเข้าใจและไม่เห็นผลลัพธ์อะไร เคยคิดเองเสียด้วยซ้ำว่า การกระทำอย่างนั้น น่าจะเหมาะกับผู้ออกบวช เราเป็นฆราวาส ทำไปก็ไม่เกิดประโยชน์สักที บางคนถึงกับบอกว่า ทำมากๆ ระวังเสียสติ ก็เลยคิดว่า อ้าวแล้วทำเพื่ออะไร หลังจากได้ฟังเสียงของท่านอาจารย์ทางวิทยุ ก็เข้าใจมาเป็นลำดับ และทำให้การศึกษาพระธรรมเป็นเรื่องไม่ยุ่งยากอย่างที่คิดค่ะสำหรับดิฉัน ผู้มีภารกิจอันยุ่งเหยิง

เข้าใจแล้วที่ท่านอาจารย์สอนว่า ฟังบ่อยๆ ก็จะค่อยๆ เข้าใจไปเรื่อยๆ วันนี้ได้แล้ว เรื่อง มิตรกับกัลยาณมิตร เรื่อง รู้จักคำว่ากรรมฐานดีหรือยัง. ขอบคุณคุณ วันชัย ภู่งาม อย่างมาก ที่เรียบเรียงให้ทราบราวกับว่าอยู่ในวงสนทนาด้วยจริงๆ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 22 พ.ย. 2558

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณณภัทร เรืองจันทร์ฤทธิ์ เจ้าภาพและผู้ช่วยเหลือทุกๆ ท่าน

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณวันชัย มา ณ กาลครั้งนี้อีกครั้งครับ

และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ด้วยนะครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Boonyavee
วันที่ 22 พ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ปวีร์
วันที่ 23 พ.ย. 2558

สาธุ สาธุ สาธุ

อนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
j.jim
วันที่ 23 พ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ปาริชาตะ
วันที่ 23 พ.ย. 2558

กราบขอบพระคุณ และอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
siraya
วันที่ 23 พ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
peem
วันที่ 23 พ.ย. 2558

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
kullawat
วันที่ 25 พ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
thilda
วันที่ 6 ธ.ค. 2558

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาอย่างยิ่งกับพี่วันชัย ภู่งาม ท่านเจ้าภาพและทุกๆ ท่านค่ะ

เป็นบุญอย่างที่สุดที่กาลครั้งหนึ่งในสังสารวัฏได้มีโอกาสศึกษาพระธรรมของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าและมีกัลยาณมิตรผู้ประเสริฐยิ่งหลายท่าน ที่จะได้อบรมเจริญปัญญาเพื่อละความไม่รู้และขัดเกลากิเลส (ปัญญาทำกิจหน้าที่) ต่อไป

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 24 ก.พ. 2559

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
wirat.k
วันที่ 29 ส.ค. 2559

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 29 ส.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
prinwut
วันที่ 18 พ.ค. 2565

กราบอนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ