ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ หุบป่าตาดโฮมสเตย์ จ.อุทัยธานี ๒๑-๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๘

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  29 ม.ค. 2559
หมายเลข  27405
อ่าน  3,304

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันที่ ๒๑-๒๓ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้รับเชิญจากคุณเบญจวรรณ รัศมีสุวรรณกุล ไปพักผ่อนที่หุบป่าตาดโฮมสเตย์ อำเภอลานสัก จังหวัดอุทัยธานี ร่วมกับเพื่อนๆ สหายธรรมในกลุ่มของคุณเบญจำนวนรวม ๑๘ ท่าน อนึ่งใครขอเรียนว่า กระทู้ ณ กาลครั้งหนึ่ง ตอนนี้ จะดูพิเศษแตกต่างจากตอนอื่นๆ ด้วยเหตุที่เป็นการตั้งใจของท่านเจ้าภาพที่จะเชิญท่านอาจารย์ไปพักผ่อนเท่านั้น ภาพและความการสนทนา จึงเป็นไปในรูปแบบสบายๆ ทั้งเรื่องเล่าและเรื่องของธรรมที่ท่านอาจารย์มีเมตตาแสดงในวันสุดท้ายของการพักผ่อน

ข้าพเจ้าและครอบครัวได้รับเชิญจากคุณเบญให้ร่วมเดินทางไปด้วย ซึ่งก็เป็นความยินดีและเต็มใจอย่างยิ่ง เนื่องจากจังหวัดอุทัยธานีเป็นจังหวัดที่อยู่ติดกับจังหวัดชัยนาทที่เป็นบ้านเกิดของข้าพเจ้า ครอบครัวของคุณพ่อ คุณปู่และคุณย่า อยู่ที่อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท จากวัดสิงห์ไปอุทัยธานีก็เพียงระยะทาง ๑๑ กิโลเมตรเท่านั้นเอง

เมื่อพูดถึงเรื่องเก่า บ้านเก่า (ในชาตินี้ ชาติก่อนๆ บ้านเก่าอยู่ที่ไหนไม่อาจทราบได้) ก็นึกถึงว่า เรื่องกรรมและผลของกรรม หรือจะพูดว่า บุญและผลของบุญ ที่ได้เคยกระทำไว้แต่ปางก่อน ที่ได้สะสมอัธยาศัยที่จะฟังและเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอดีตได้ทรงตรัสรู้และทรงแสดงมาตามสมควร จึงให้ได้มาพบท่านอาจารย์และพระธรรมคำสอนอีกในชาตินี้ ทั้งยังจะเป็นครั้งหนึ่งที่น่าจดจำสำหรับข้าพเจ้า ที่ท่านอาจารย์เดินทางผ่านมายังถิ่นฐานบ้านเกิดของข้าพเจ้าในครั้งนี้

และที่จะกล่าวถึงอีกอย่างหนึ่งก็คือ การที่ได้พบกับพี่บรรอร เพื่อนสนิทในกลุ่มของคุณเบญ พี่บรรอรเป็นพี่สาวของเพื่อนถึงสองคนของข้าพเจ้าในสมัยเด็กที่อำเภอวัดสิงห์ คืออวยพรและไพฑูรย์ เห็นถึงความวิจิตรของกรรมที่ได้เคยกระทำไว้ในอดีตให้บุคคลได้มาพบเจอกัน ซึ่งก็ไม่ใช่ความบังเอิญอย่างที่ใครๆ ที่ไม่ได้ศึกษาธรรมกล่าวบ่อยๆ แต่เพราะบุญที่ได้เคยกระทำไว้ให้ได้มาพบกันในหนทางอันอาจหาญ ร่าเริง ยาวนานของสังสารวัฏ เพื่อได้อบรมเจริญปัญญา เจริญกุศลประการต่างๆ ร่วมกัน เป็นมิตรที่แท้ต่อกัน เดินไปในหนทางอันอบอุ่นยาวไกลด้วยกัน ซึ่งเป็นขณะของกุศลกรรมที่มีค่าในสังสารวัฏ อันจะสะสมไว้ สะสมไว้ เป็นที่พึ่งแก่บุคคลอย่างแท้จริงตลอดการเดินทางอันยาวไกล ซึ่งจะสิ้นสุดได้ในวันหนึ่ง จากการสะสมความเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏในทุกๆ ขณะนี้เอง ด้วยการฟังและเข้าใจพระธรรม บ่อยๆ เนืองๆ บ่อยๆ เนืองๆ มั่นคงขึ้น มั่นคงขึ้น ทีละเล็ก ทีละน้อย สะสมไป เป็นชีวิตที่มีค่า สมดังคำกล่าวที่ว่า "มีชีวิตอยู่ เพื่อปัญญาปรากฏ"

ข้าพเจ้าพร้อมคุณภรรยาและน้องตอง ออกเดินทางจากบ้านแต่เช้าตรู่เพื่อไปแวะรับคุณแอ๊ว (นภา จันทรางศุ) ที่บ้านบางกรวย แล้วออกเดินทางไปอุทัยธานี แวะรับประทานอาหารเช้าที่สุพรรณบุรี แล้วเดินทางต่อไปยังชัยนาท แวะอำเภอวัดสิงห์ เพื่อไปดูและจ่ายค่าตัดหญ้ารอบบริเวณบ้านเก่าที่อยู่ริมแม่น้ำท่าจีน สมบัติที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ให้ (เป็นภาระ) ซึ่งมีความเสื่อมโทรมไปตามกาลเวลา เป็นอนุสสติเตือนใจในความจริงที่ว่า มีก็เหมือนไม่มี และมีเมื่อคิด เมื่อไม่คิด บ้านหลังนี้ก็ไม่มี ปีหนึ่งจึงจะมาสักหน มาดู (เฉยๆ ) และมาจ่ายค่าตัดหญ้าให้คนที่กรุณามาทำให้ ทรัพย์ที่เป็นประโยชน์จริงๆ คือ อริยทรัพย์ ความเข้าใจธรรมะ ประเสริฐที่สุด ทรัพย์ที่เห็นอยู่นี้เพียงเตือนให้ระลึกถึงความจริงที่แท้ของการมีชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท และเข้าใจว่าประโยชน์ที่แท้จริงของการมีทรัพย์นั้นคืออะไรกันแน่ ทั้งๆ ที่มีอยู่ก็อาจไม่ได้ใช้ประโยชน์เลยจนตายจากไปก็ได้ มีก็เหมือนไม่มี เป็นคำพูดที่ทำให้คิดได้ในหลายมุมตามการสะสม

เสร็จจากดูบ้าน ก็ไปดูที่นาที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ให้อีกเช่นกัน นากว่า ๕๐ ไร่ ที่ตลอดชีวิตมาจนบัดนี้ ไปเดินดูนับครั้งได้ จะป่วยกล่าวไปไยถึงลูกๆ ซึ่งเป็นแต่ลูกสาวทั้งสิ้น ที่มาดูนากับพ่อไม่กี่หน จนครั้งสุดท้ายมากับน้องตอง เลยถามว่าอยากได้ไหม? เธอเดินวนดูแล้วบอกว่า ไม่เอา (ฮาาาา) จึงตัดสินใจบอกขายซึ่งก็เกือบจะขายให้ท่านผู้ว่าชัยนาทเมื่อปีก่อนได้แล้ว แต่ท่านอยากได้ที่จำนวนมากกว่านี้เพื่อทำโครงการเกษตรสาธิต เมื่อติดต่อขอซื้อที่ข้างเคียงเพิ่มไม่ได้จึงเปลี่ยนไปซื้อที่อื่นแทน บุญของข้าพเจ้าที่จะได้รับทรัพย์ (เงิน) จึงค้างคามาจนปัจจุบัน พูดไปแล้วก็รู้สึกว่าจะเป็นคนมั่งมีทรัพย์สินคนหนึ่งหรือกระไร แต่ทว่าอย่าลืมว่าที่นาบ้านนอกทั้งหมดนี้ ถ้าขายก็ได้เงินเพียงไม่กี่ล้าน นำมาซื้อบ้านเดี่ยวเนื้อที่ไม่กี่ตารางวาในกรุงเทพฯได้สักหลังหนึ่งเท่านั้นเอง จึงสารภาพไว้ในที่นี้ว่า แต่ก่อนเคยคิดเล่นๆ ว่าปู่ตาย่ายายน่าจะมาซื้อที่ดินแถวๆ ซอยอโศกที่สุขุมวิทไว้บ้าง เพราะป้าเคยเล่าว่าญาติห่างๆ กันมาซื้อไว้สมัยนั้นไร่ละสองสามร้อยบาทเท่านั้นเอง ต่อมาลูกหลานขายไปได้เงินหลายร้อยล้าน ถ้าซื้อไว้บ้างสักไร่สองไร่ ป่านนี้ข้าพเจ้าคงรวยไม่รู้เรื่องไปแล้ว (ฮาาา) ทั้งหมดทั้งมวลก็คือเพราะทำบุญมาแค่นี้นั่นเอง โลภะ ความติดข้องเพื่อนสนิทนี้ไม่ปล่อยเลย คอยกระซิบว่าน้อยไป น้อยไป น่าจะมีมากกว่านี้อยู่เสมอๆ ช่างเป็นเพื่อนสนิทที่น่ารังเกียจอะไรปานนี้ สรุปว่า เดี๋ยวก็รู้ว่า ถ้าที่นานี้เป็นของเราจริงๆ ต้องขายได้ขณะที่เรามีชีวิตอยู่และนำเงินที่ขายได้มาทำตามความต้องการอื่นๆ (ตามแต่นายใหญ่จะสั่งการ) แต่ถ้าตายไปเสียก่อนที่จะได้ขาย ก็ไม่ใช่ของเราแน่นอน หรือแม้จะขายได้ก็อย่านึกว่าจะได้ใช้เงินนั้น อาจตายก่อนได้ใช้เงินก็เป็นไปได้อีกเช่นกัน เห็นความเป็นอนัตตาที่มั่นคงขึ้นไหม นี่ถามตัวเองนะครับ

ขออภัยที่พูดปรารภตนให้ฟัง นานๆ ก็ขออนุญาตสักหนหนึ่งก็แล้วกันนะครับ เมื่อเหตุปัจจัยเป็นไปกับเรื่องราวที่ได้มีโอกาสเดินทางผ่านมาบ้านเก่า ถิ่นเกิด ร่วมกับท่านอาจารย์และสหายธรรมเช่นนี้แล้ว ก็เพียงเล่าให้ท่านได้ฟังเล่นเพลินๆ ทุกอย่างเป็นธรรมะที่เกิดขึ้นแล้วเป็นปกติ ไม่มีใครไปทำให้เกิด แต่เกิดเอง และเกิดแล้วด้วย ตามเหตุ ตามปัจจัย เมื่อได้มาศึกษาธรรม จึงทำให้เข้าใจชีวิตและการสะสมของตนเอง ซึ่งหาใช่ใครไม่ แต่เป็นจิตที่สะสมทั้งกุศลและอกุศลมายาวนานในสังสารวัฏ ซึ่งให้ผลทั้งดีทั้งไม่ดี ที่เห็นได้ เห็นแล้ว และเห็นอยู่ ในปัจจุบัน

สัตว์โลกเป็นที่ดูผลของบุญและบาป วาจาสัจจะที่เป็นปัจจัยให้บุคคลที่เริ่มเข้าใจธรรมะ น้อมไปสู่ศรัทธาที่มั่นคงขึ้น ในการที่จะอดทนและเพียรที่จะฟังและเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ตามที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงมีพระมหากรุณาแสดงไว้ คำสอนทั้งหมดยังคงอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์ และถูกนำมาแสดงให้พวกเราได้เข้าใจได้ตามกำลังปัญญาความเข้าใจของแต่ละคน โดยท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ นานร่วมหกสิบปีมาแล้ว

การเดินทางมาที่หุบป่าตาด จังหวัดอุทัยธานี มีระยะทางไม่ไกลจากกรุงเทพฯเลย เพียงราว ๒๔๐ กิโลเมตรเท่านั้น และจากตัวจังหวัดไปยังหุบป่าตาดอีกเพียงราว ๕๐ กิโลเมตร ระหว่างทางก็มีการแวะเที่ยวตลาดโบราณร้อยปีสามชุก ที่จังหวัดสุพรรณบุรี

และแวะรับประทานอาหารกลางวันที่ร้าน The Sun House หน้าวิทยาลัยเทคนิคอุทัยธานี ซึ่งเป็นร้านที่ทำสเต๊กอร่อยที่สุดในจังหวัดอุทัยธานี ตามที่คุณเบญ พี่บรรอรและเพื่อนๆ ได้มาทดสอบฝีมือแล้วหลายครั้ง ยอมรับว่าอร่อยจริงๆ ครับ ทราบว่าราคาไม่แพงด้วย ใครไปอุทัยธานีก็เชิญแวะได้นะครับ ทางที่ดีควรโทรไปก่อนล่วงหน้า เพื่อทางร้านจะได้จัดเตรียมอาหารไว้ให้ตรงกับความต้องการ

การเดินทางมาที่หุบป่าตาดในครั้งนี้ เป็นความตั้งใจของคุณเบญที่น่าชื่นชมและอนุโมทนาอย่างยิ่ง ที่จะให้ท่านอาจารย์ได้พักผ่อนจริงๆ ตามอัธยาศัย ไม่มีการกำหนดอะไรที่เป็นการตายตัว และไม่มีกำหนดการสนทนาธรรมด้วย เพราะทุกท่านทราบว่า ท่านอาจารย์ท่านพูดธรรมะตลอดเวลาที่ได้สนทนากับท่านอยู่แล้ว ไม่ต้องมีพิธีรีตองใดๆ ซึ่งข้าพเจ้าเห็นว่าน่าอนุโมทนามาก เพราะโดยส่วนใหญ่ ชีวิตของท่านอาจารย์ มีกำหนดการที่รับเชิญเต็มยาวตลอดมาและยาวไปเกือบทั้งปีนี้แล้วนั้น ท่านต้องตื่นแต่เช้าเพื่อรอคนมารับท่านไปตามคำเชิญ และ เมื่อไปถึง ท่านก็ต้องนั่งสนทนาธรรมเป็นเวลานานหลายชั่วโมง ทั้งเช้าและบ่าย อาจเลยไปถึงค่ำด้วยในบางครั้ง คนฟังธรรมตลอดสองสามชั่วโมงยังลุกไปเข้าห้องน้ำทำอะไรต่ออะไรได้ แต่ท่านอาจารย์นั่งยาวไม่ลุกเข้าห้องน้ำเลยจนตลอดจบการสนทนาในแต่ละช่วง ซึ่งเป็นสองชั่วโมงบ้าง สามชั่วโมงบ้าง เป็นเช่นนี้มาตลอดระยะเวลาร่วมหกสิบปี จนบัดนี้ท่านอาจารย์มีอายุเก้าสิบปีในปีนี้แล้ว

ท่านอาจารย์เคยกล่าวกับข้าพเจ้าครั้งหนึ่งเมื่อตอนที่คุณเบญเชิญท่านไปสนทนาธรรม ที่ตลาดบางหลวง (ท่านที่สนใจเชิญคลิกชมได้ที่นี่ครับ... ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ตลาดบางหลวง ร.ศ. ๑๒๒ วันที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๘) ท่านอาจารย์กล่าวกับข้าพเจ้าว่า ท่านชอบที่จะตื่นขึ้นในตอนเช้าแบบสบายๆ (ซึ่งข้าพเจ้าคิดเอาเองว่า เวลาเช่นนั้นสำหรับท่านแทบจะไม่มีเลย) การที่คุณเบญมีกุศลศรัทธาและกุศลเจตนาที่แน่วแน่ในการที่จะเชิญให้ท่านได้มาพักผ่อนจริงๆ ตามอัธยาศัยของท่านเช่นนี้ จึงน่าอนุโมทนาอย่างที่สุด

หุบป่าตาด เป็นป่าดึกดำบรรพ์ในหุบเขาหินปูนที่ล้อมรอบป่าต้นตาดที่ขึ้นเบียดกันแน่นขนัด อันเป็นที่มาของชื่อ “หุบป่าตาด” ซึ่ง “ต้นตาด” หรือ “ต้นต๋าว” (Aranga pinnata (Wrumb.) Merr.) เป็นพืชในตระกูลปาล์มดึกดำบรรพ์ที่หาดูได้ยาก และมักจะขึ้นตามป่าดงดิบที่มีอากาศชื้นและหนาวเย็น บริเวณโดยรอบของหุบป่าตาดนี้เป็นระบบนิเวศน์ที่ค่อนข้างปิด เนื่องจากมีทางเข้าออก ทางเดียว แสงแดดจะส่องถึงเฉพาะช่วงเวลาเที่ยงวันเท่านั้น ต้นตาดจึงเติบโตได้ดี ลูกตาดที่เป็นทะลายใหญ่สีดำบนยอดต้นนั้น เนื้อในมีลักษณะคล้ายลูกชิด สามารถนำไปต้มกินได้ แต่ไม่เป็นที่นิยมกันเนื่องจากมีเนื้อค่อนข้างน้อยนั่นเอง น่าไปเที่ยวไปชมมากครับ

อันดับต่อไป ก็ขอถอดความการสนทนา ซึ่งเป็นการสนทนาหลังอาหารเช้าของวันสุดท้ายก่อนเดินทางกลับ ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่า ควรที่จะนำความการสนทนาบางตอนดังกล่าวทั้งที่เกี่ยวกับเรื่องสุขภาพร่างกายของท่านอาจารย์มาปรารภกับทุกๆ ท่าน และความการสนทนาที่ท่านอาจารย์ได้เมตตากล่าวถึงความละเอียด ลึกซึ้งของการอบรมเจริญปัญญา หรือสติปัฏฐาน ก็แล้วแต่จะอยากจะเรียกชื่อ มาฝากให้ทุกๆ ท่านได้พิจารณาเช่นเคย ซึ่งทุกๆ ท่านคงทราบดีแล้วว่า ความการสนทนาธรรมที่เป็นการส่วนตัวกับท่านอาจารย์นั้น ยอดเยี่ยมเพียงไหน และไม่สามารถหาได้จากที่ใดแน่นอน นอกจากที่นี่นะครับ

อนึ่ง คุณเบญจวรรณ รัศมีสุวรรณกุล ได้เล่าความเป็นมาของตนเองที่ได้มาพบกับท่านอาจารย์ว่า หลังจากที่เธอได้ทำภารกิจหน้าที่เลี้ยงดูคุณแม่จนวาระสุดท้ายเสร็จสิ้นแล้ว เธอก็วางแผนชีวิตที่เหลืออยู่ของเธอและดำเนินตามแผนนั้นทันทีโดยเรียบร้อย กล่าวคือ จัดการเรื่องธุรกิจให้มีระบบที่เธอสามารถที่จะบริหารโดยมีเวลาอิสระอย่างเต็มที่ ซึ่งเธอตั้งใจที่จะใช้เวลาที่เหลืออยู่ไปกับการท่องเที่ยวและทำบุญทำกุศล คุณเบญเล่าว่า ไปร่วมสนทนาธรรมครั้งแรกกับท่านอาจารย์ครั้งแรกที่วังน้ำเขียว ที่ ไร่คุณกุล ท่านที่สนใจสามารถคลิกชมได้ที่นี่ครับ...ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ไร่คุณกุล วังน้ำเขียว ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๕

เพื่อเป็นประโยชน์ในการที่จะได้เห็นถึงการสะสมมาของแต่ละบุคคล จึงจะขออนุญาตถอดความที่คุณเบญได้เล่าไว้ในตอนท้ายของการสนทนาที่หุบป่าตาดโฮมสเตย์ในเช้าวันนั้นมาให้ท่านได้ฟังด้วย ซึ่งข้าพเจ้าเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์แก่การได้อ่านและพิจารณา ดังนี้

คุณเบญ "...ไปวังน้ำเขียวครั้งแรก แรกๆ ไปก็ฟังแล้วก็จะบอกว่ารู้เรื่องไหม? ไม่รู้ แต่สงสัยคำ "แข็ง" ตรงไหนแข็ง เกิด ดับ ก็มองซ้ายมองขวา แข็งดับ แข็งดับ ก็งงๆ แรกๆ ก็งงๆ แต่ก็ไม่ได้บอกว่า ไม่รู้เรื่องเลย แต่ก็คิดว่า เหมือนถึงเวลาที่ตัวเองเคยขอไว้นานเป็นยี่สิบ สามสิบปีแล้วว่า หมดภารกิจอะไรอย่างนี้ เราอยากมาทางนี้ ใจคืออยากมาทางนี้

ก็เลยบอกกับตัวเองว่า เดี๋ยวต้องค่อยๆ ฟัง เราต้องค่อยๆ ฟัง แต่ไม่ได้บอกว่าฟังไม่เห็นรู้เรื่องเลย อะไรแข็ง แต่ตอนนั้นคือไม่รู้เลย แข็งก็ยังอยู่ ก็ลองคิดว่าแข็งจากอะไร อย่างนี้แข็งใช่ไหม? คือ คิดด้วยตัวเอง แข็ง จับโต๊ะคือต้องแข็งแน่ คืออะไรที่จับแล้วแข็งมันต้องแข็งแน่ แล้วอะไรมันเกิดแล้วทำไมดับ? ก็ยังเห็นอยู่ ท่านก็พูดว่า เห็นไหมนี่ นั่งกันอยู่ ดอกไม้ก็อยู่ตรงนี้ ดอกไม้ก็สวย เห็นแล้วใช่ไหม? ดับหรือยัง? หนูก็จะบอกว่ามองไปยังไงก็ยังเจอ แต่ก็พูดกับตัวเอง ไม่ได้บอกว่าฟังไม่เห็นรู้เรื่องเลย ก็เลยบอกกับตัวเองว่าเราเพิ่งมา ค่อยๆ พูดกับตัวเอง ขอค่อยๆ ก่อน แต่ก็ไม่ได้พูดกับพวกเขาว่าฉันฟังไม่รู้เรื่องเลย คืออะไร มันคืออะไร ไม่ได้พูด แต่พูดกับตัวเองว่า ต้องค่อยๆ

คือ ใจตัวเองพูดอยู่ตลอดเวลาว่า ถ้าเสร็จหน้าที่ เสร็จอะไรแล้ว ขอมาทางสายนี้ แต่ไม่รู้จะไปที่ไหน เพียงแต่ใจรู้อย่างเดียวว่า เหมือนถูกสอนมาว่า ไหว้พระ ไหว้เจ้า ทำบุญ ใส่บาตร อันนั้นคือสิ่งที่รู้อยู่ เพราะว่าทำมาตลอด

ท่านอาจารย์ ไม่ยาก!!!

คุณเบญ ทำมาตลอดเวลา เพียงแต่เราว่า อยากได้ฟังธรรม ใจขอต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาไหว้ห้องพระ ขอเสร็จภารกิจขอเสร็จหน้าที่อะไรก่อน พูดไว้ว่าชีวิตนี้ขอทำมาหากินแค่อายุแค่นี้พอแล้ว คิดว่าอย่างไรก็ต้องอยู่โสดอยู่แล้วเพราะต้องอยู่กับแม่ คิดว่าอย่างไรก็ต้องอยู่โสดอยู่แล้วเพราะเรามีแม่คนหนึ่ง ไปไหนไม่ได้ ก็คิดแค่นี้ แต่ว่าขอให้ทุกอย่างมันจบลงเรียบร้อยก่อน ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม และให้เหมือนตัวเองอิสระ คิดไปถึงว่าอาจจะไปถือบวช อาจจะไปถือศีลอะไรอย่างนี้

แต่ทั้งหมดทั้งมวล ไม่เคยได้เข้าลองเลย ไม่เคยได้ไปถึงเลย แค่คิดเท่านั้นเอง และถ้าว่าเราจบหน้าที่แล้วเราอาจจะไปทางนี้ดีกว่า ก็คงเหมือนกับที่เขาบอกว่าไปถือศีลที่นี่สิ ไปฟังธรรมที่นี่สิ แต่มันยังไงก็ไม่ได้ไปสักที เหมือนเรามีอย่างอื่นที่ต้องไป ไปเที่ยวบ้าง อะไรอย่างนี้

แต่พอถึงเวลาจบแค่ระยะ ๖ เดือนแรกของปี ๕๔ ที่เราอยู่โรงพยาบาลจนแม่เสีย หลังจากนั้นอีกแค่สามเดือน ภารกิจทุกอย่างก็จัดทุกอย่างจบหมดแล้ว เหมือนอิสระ เพื่อนโทรฯมาว่าไปอินเดีย แต่ตอนนั้นเหมือนไว้ทุกข์อยู่ ความที่ยังเป็นเหมือนคนโบราณก็ไม่อยากจะไปทำอะไร แต่เพื่อนก็บอกว่า เหมือนทำบุญไง ก็ไป

นั่นคือก้าวแรกที่ไป ไปเสร็จก็เจออาจารย์สงบกับพี่แดงอยู่บนรถ ก็พูดธรรมะ ก็พูดไป หนูก็งงไป แต่ว่าก็ฟัง แต่ฟังด้วยที่ว่าเป็นสิ่งดี คิดแต่ว่านี่เป็นสิ่งดี แต่ความเข้าใจยังไม่มี แต่ในคำพูดบางคำพูดก็มาตรงกับประเด็นการทำบุญใส่บาตร ทำทำไม? ทำแล้วได้อะไร? หนูก็ค่อยๆ คิดค่อยๆ ฟังไป แล้วก็ไปนั่งคิด อ๋อ เราทำบุญ เมื่อก่อนเราทำบุญเราต้องขออย่างนั้น ขออย่างนี้ แต่ตอนนี้ไม่ใช่!! ไม่ใช่อย่างนั้น!!! ไม่ใช่ ก็เลยคิดว่า นี่คือเส้นทางหนึ่งแล้วที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชี้ส่องให้หนูได้มา หนูก็เลยบอก (ตัวเอง) ว่าต้องค่อยๆ เข้าไปฟัง แต่บอกกับตัวเองว่า คงต้องค่อยๆ ปรับตัวเองแล้วก็ทำความเข้าใจ

จนไปฟังท่านอาจารย์ที่มูลนิธิฯ ท่านก็ถามว่า นี่เห็นดอกไม้สวยไหม? ทุกคนก็บอกว่าสวย พยักหน้าแต่ไม่พูด ทุกคนเข้าใจใช่ไหม? มองซ้ายมองขวา ทำไมไม่มีใครตอบ (ท่านอาจารย์หัวเราะ) เราก็เอ๊ะ! ไม่เข้าใจเหมือนกัน เราก็ไม่ตอบเพราะเรายังไม่เข้าใจ (หัวเราะสนุก) ทำไมคนเก่าๆ เขาไม่มีใครตอบเลย แล้วเห็นอะไรคะ? ทุกคนก็ไม่ตอบ (ท่านอาจารย์หัวเราะอีก) หนูก็ว่าหนูเห็นทุกอย่างที่อยู่ข้างหน้า วิทยากร ท่านอาจารย์ ดอกไม้ ทุกอย่างก็อยู่ แต่ทำไมไม่ตอบ

แต่รู้ว่า เรายังมาใหม่ เราไม่แสดงอะไรออกไป เพียงแต่รู้ว่า เอ! ทำไมเขาไม่ตอบ จนมารู้ว่า ทุกคนคงเหมือนนอบน้อม หรือไม่กล้าแสดงออก คิดอย่างนี้ หรือไม่เข้าใจ? หรือเข้าใจแต่ไม่บอก? เหมือนว่าเข้าใจแล้ว ก็เป็นการเห็นก็คือเห็น สวยก็คือสวย หนูก็ว่า เออ..ค่อยๆ เรียนรู้จากสิ่งที่คนที่หนูคิดว่าเขาไปในทางที่ว่าน่าจะเรียนรู้ด้วย ก็โอเค จำจากตรงนั้นมา

นี่คือสิ่งหนึ่ง ที่ค่อยๆ จนมาเข้าใจว่า แข็งคืออะไร ความเข้าใจของหนูอาจจะแค่เล็กน้อย แข็งตรงไหน? เห็นตรงไหน? เห็นแล้วเป็นอย่างไร? ตรงนี้ หนูเริ่มเข้าใจค่ะ..."

อนึ่ง กลุ่มของคุณเบญจวรรณ รัศมีสุวรรณกุล ชอบที่จะท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ ทั้งในและนอกประเทศ ซึ่งครั้งที่แล้วก็ได้กราบเรียนเชิญท่านอาจารย์ไปพักผ่อนที่ประเทศญี่ปุ่นมาแล้วครั้งหนึ่ง ท่านที่สนใจสามารถติดตามชมได้จากกระทู้นี้ครับ...

ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่ ประเทศญี่ปุ่น ๒๗ มี.ค. - ๓ เมษายน ๒๕๕๘

กลุ่มคุณเบญ เป็นกลุ่มที่สนุกสนานเฮฮามากๆ ไม่ว่าที่ไหนเมื่อไหร่ ก็มีแต่เสียงหัวเราะตลอดเวลา ด้วยความที่คุณเบญเป็นคนใจกว้าง เปิดเผย มีน้ำใจ มีเมตตา ความเป็นมิตรเป็นเพื่อนกับทุกคน จึงทำให้คนที่อยู่ในกลุ่มมีความสนุกสนาน เบิกบานใจไปด้วยกัน ไปที่ไหนๆ ก็มีแต่เสียงหยอกล้อ กระเซ้าเย้าแหย่ เรียกเสียงหัวเราะเฮฮาได้ตลอด จนท่านอาจารย์กล่าวว่า เสียงหัวเราะแสดงว่ามีความสุขมาก ท่านบอกว่าท่านชอบใจ ที่ได้ยินเสียงหัวเราะของทุกคน

ท่านอาจารย์ มีแต่เสียงหัวเราะนะคะ ถ้าอัดตั้งแต่ตอนหัวเราะ คงเต็มไปด้วยหัวเราะเลย เรื่องอะไรกันนี่

คุณป้าจี๊ด น่าจะอัดเสียงหัวเราะไว้ด้วยนะคะ หัวเราะทั้งม้วน

ท่านอาจารย์ ใช่ ทีหลังอัดไว้สิคะ

คุณนภา แอ๊วกำลังจะถ่ายรูป พอหัวเราะๆ มันติดภาพถ่ายออกมาเต็มเลย

คุณวันชัย บางที ความที่จะตลก แค่เดินออกมาก็ตลก เหมือนล้อต๊อกอะไรอย่างนี้ครับท่านอาจารย์ ชูศรี (มีสมมนต์) อะไรอย่างนี้ครับ

คุณป้าจี๊ด ใช่ค่ะ เดินออกมาก็หัวเราะแล้ว

คุณม้อ นี่รอคุณเร (เรวัติ) คนเดียวเลยนะนี่ (หัวเราะกันครืน)

ท่านอาจารย์ (หัวเราะ) แค่นี้ก็หัวเราะ (หัวเราะกันใหญ่) แค่นี้ก็หัวเราะ แล้วใครเขาจะไม่แปลกใจได้อย่างไร อันนี้เอาไปเปิดให้ใครฟังล่ะคะ?

คุณวันชัย ไม่ๆ ครับ ส่วนตัว

ท่านอาจารย์ เอาไปเปิดสิ เอาไปเปิดสิ คนจะได้บอกนี่อะไร หัวเราะตลอดวัน ชอบใจจังเลยค่ะ เนี่ย มีแต่เสียงหัวเราะตลอดเลย มีคนที่ไม่หัวเราะไหม? ไม่มี

คุณม้อ อาจารย์ ถ้าไม่หัวเราะก็ผิดปกติ นะคะ

ท่านอาจารย์ เดี๋ยวหัวเราะอีกและ (หัวเราะกันใหญ่) แค่นี้ก็หัวเราะ คิดดูก็แล้วกัน ก็แสดงว่าที่นี่มีความสุขมาก

คุณม้อ วันนี้ท่านอาจารย์บอกว่า มีคนไม่หัวเราะไหม? หนูก็ว่า คนไม่หัวเราะนี่ ผิดปกติใช่ไหม?

ท่านอาจารย์ เราก็ไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ รู้คนอื่นรู้ยากมาก ไม่มีทาง

คุณน้อย (ภาณี) ก็เป็นปกติของเขาอีก (หัวเราะ)

ท่านอาจารย์ แล้วก็หัวเราะ เห็นไหม? แปลว่ามีความสุขกันจริงๆ

คุณม้อ ใครที่ว่า อยากจะถามอะไร ก็เริ่ม...

ท่านอาจารย์ ที่เก็บๆ ไว้ ไม่มีโอกาสถาม ก็ถามเสีย

คุณน้อย เก็บไว้เยอะไม่ใช่เหรอพี่ (เรวัติ) น่ะ (หัวเราะกันครืน)

คุณม้อ ไม่ต้องมองหนู

คุณเรวัติ ไม่ใช่ คือตัวผมน่ะ ความจำแย่มาก พอพูดไปนิดเดียว สักประเดี๋ยวก็ลืมแล้ว บางทีก็อยากจะจำให้ได้ จะเอาไปคุยกับเขาได้บ้าง ไปคุยแต่เรื่องไร้สาระ เรื่องธรรมะไม่ค่อยได้เรื่อง

คุณนภา เมื่อเช้าประมาณตีสี่ ตีห้า หนูเห็นผู้ชายสองคนคุยกันน่ะค่ะ คุยกันเกี่ยวกับเรื่องเมียๆ (หัวเราะกันใหญ่)

คุณป้าจี๊ด นินทาเมีย (หัวเราะ)

คุณนภา แอ๊วขำ ตื่นมาก็ขำกับโม่ย

คุณวันชัย คือ พอดีก็เห็นพี่เรวัติ ตอนแรกก็ไม่แน่ใจว่า เอ๊ะใคร ผู้ชายตื่นมายืนอยู่ เพราะว่าผมตื่นมาตีสามครึ่งแล้วก็เข้าห้องน้ำเสร็จ ก็ไปอาบน้ำแล้วก็มาเก็บเต้นท์ แล้วพี่เรวัติก็เดินไปพอดี อ๋อพี่เรวัติเหรอ ตื่นแต่เช้า ตื่นเช้าจังเลย พี่เรวัติก็บอกว่า อ้าวแล้วคุณล่ะ

คุณนภา (หัวเราะ) ก็ตื่นเช้าเหมือนกัน (หัวเราะกันสนุกสนาน) มาถามอะไรผม

คุณวันชัย มาถามอะไรผม (หัวเราะกันใหญ่)

คุณนภา คุณวันชัยก็ถามทำไมพี่ถึงตื่นเช้า อ้าวคุณก็ตื่นเช้าเหมือนกัน (หัวเราะ)

คุณวันชัย ทีนี้ผมก็เล่าให้พี่เรวัติฟังว่า พอเข้าห้องน้ำ ผมก็นึกถึงว่า อนุโมทนาคุณเบญ ว่ามาแบบนี้ คือว่ามาให้ท่านอาจารย์ได้พัก แล้วก็นึกไปถึงคำที่ท่านอาจารย์พูดที่เวียดนาม ที่บนแท๊กซี่ หลังจากที่ได้ไปเยี่ยมผู้ป่วย แล้วก็ได้กราบท่านอาจารย์ว่า ชีวิตของท่านอาจารย์เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นมาก ท่านอาจารย์ก็พูดคำที่ประทับใจมาก ผมเอามาถ่ายทอดในเวปไซต์ ทุกคนก็ประทับใจว่า ท่านอาจารย์พูดคำว่า "ใช้ให้คุ้ม"

แล้วเมื่อวาน ท่านอาจารย์ก็พูดเรื่องที่ว่า ท่านอาจารย์มีความเจ็บ (หัวเข่า) หมายความว่า ร่างกายก็มีความเสื่อมไปอย่างนี้ แล้วท่านอาจารย์พูดคำหนึ่งว่า ก็รู้จักถนอม อะไรอย่างนี้ ท่านอาจารย์ไม่ได้หมายความถึง ความเป็นท่านอาจารย์ที่จะถนอม แต่หมายความว่า พวกเราจะเสียโอกาสในการที่จะได้ฟัง อะไรอย่างนี้นะครับ เพื่อประโยชน์

ก็ไม่มีอะไร ก็มีแต่ความซาบซึ้งว่า เวลาที่เราอยู่กับตัวเอง ที่เมื่อวานได้กราบเรียนท่านอาจารย์ตอนเช้าว่า พอดีฟังวิทยุออนไลน์ของในเวปไซต์ เพราะว่าเปิดวิทยุตอนเช้าแล้ว มันไม่ค่อยได้ยินครับท่านอาจารย์ สทร. ท่านอาจารย์เปิด ได้ยินไหมครับ

ท่านอาจารย์ ไม่ได้ยินเลยค่ะ รับไม่ได้เลยค่ะ

คุณวันชัย ผมได้แว่วๆ ครับ แล้วก็เลยเปิดวิทยุออนไลน์ (ในเวปไซต์ของมูลนิธิ) ตอนเช้าก็ตื่นเช้าก็เลยฟัง อย่างที่กราบเรียนท่านอาจารย์ว่า ท่านอาจารย์พูดถึงเรื่องพระราชาที่อุ้มลูก ไปไหนก็ติดลูก อุ้มหรืออย่างไรนี่แหละครับ เอาไปด้วย ไปไหนก็ไป แล้วปรากฏว่าลูกตาย อำมาตย์ก็ไม่บอก จนเผาศพเสร็จไปหมดแล้ว ก็กลัวเสียใจ แต่ตอนหลังมารู้ ก็รู้สึกเสียใจ แต่ว่าท่านก็พิจารณาปฏิจจสมุปปาท ท่านก็ถึงความเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า

ผมก็กราบเรียนท่านอาจารย์ว่า เพราะเคยสนทนากับอาจารย์วิชัยที่พม่า เรื่องความสะสมทางธรรม เอ่อแล้วพูดอย่างไรที่ไม่ละเอียดถึงที่ว่า ถ้าไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีคำ การเจริญของสติปัฏฐานหรืออะไรอย่างนี้ จะเป็นไปได้อย่างไร แต่เมื่อวานผมก็ไม่ได้ถามกราบเรียนท่านอาจารย์โดยชัดเจน ผมเพียงถามว่า ท่านต้องมีความสะสมมาแน่ในสมัยก่อนๆ ถึงชาตินั้น ท่านก็พิจารณาปฏิจจสมุปปาท

ท่านอาจารย์ก็พูดเรื่องว่า ขณะนี้เอง ถ้าเรามีความสะสม ซึ่งตอนหลังๆ นี่ท่านอาจารย์พูดเรื่อง ทีละน้อย สะสมไว้ เก็บไว้ ก็ยิ่งชัดเจนว่า ทุกคนก็ฟัง แล้วก็ขณะนี้เอง อย่างที่บอก ผมเข้าห้องน้ำอย่างนี้ แทนที่มันจะไปเรื่องอื่นมันก็ไม่ไปเลย มันก็ไปเรื่องนี้

เพราะฉะนั้น ทุกคนมีที่พึ่งขณะไหน ก็ขณะที่เห็นเดี๋ยวนี้ ซึ่งท่านอาจารย์ก็พูดมาตลอด แล้วความเข้าใจนี้ ก็ต้องกราบท่านอาจารย์ คิดทีไรก็กราบท่านอาจารย์ นั่งอยู่หน้าทีวีก็กราบท่านอาจารย์ในทีวี (หัวเราะ) ในวิทยุ ในอะไรอย่างนี้นะครับ ก็แค่นั้นเอง ก็รู้สึกว่า ก็เป็นคำทั้งหมดที่มันรวมกันที่ว่า ใช้ท่านโดยถนอม หรือว่า หมายความว่า ทุกคนถนอมท่าน ก็อนุโมทนาคุณเบญว่า ให้ท่านอาจารย์ได้อยู่สบาย หมายความว่า ด้วยความอย่างนี้ ถ้าธรรมะเขาจะมาอย่างไร มันก็เป็นธรรมดา ปกติ อะไรอย่างนี้ครับ กราบท่านอาจารย์ครับ

ท่านอาจารย์ ค่ะ ทีนี้ "ปกติ" นี่ เราลืมว่ามันเดี๋ยวนี้ เพราะเกิดแล้ว เราก็จะพยายาม บางคนจะไปทำให้มันเป็นปกติอีก คล้ายๆ กับว่าปกตินี่มันไม่ใช่ปกติ แค่นี้ ปกติแล้ว เพราะเกิดแล้ว นี่ก็ปกติแล้ว คือ ทุกอย่าง คำว่าปกติหมายความถึงสิ่งที่เกิดแล้ว มันขาดแต่เพียงการ "เข้าใจ" ว่าสิ่งนี้แหละที่มันเกิด มันดับ แล้วมันไม่กลับมาอีก แล้วมันก็เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย

เพราะฉะนั้น ที่มันยากแสนยาก เดี๋ยวนี้เท่านั้น!!! ที่กำลังปรากฏ!!! ไม่ต้องไปไหนเลย แต่ว่าฟังธรรมะ เพื่อเมื่อไหร่เราจะเข้าใจสิ่งที่มันปรากฏ เพราะว่ามันต้องมีปัจจัยทำให้เกิดขึ้น แล้วก็ดับ ตรงนี้สิ และแม้แต่ละคำที่เราสะสม ไม่กลับมาอีก ณ กาลครั้งหนึ่ง จะไม่มีวันนี้อีก จะไม่มีขณะแต่ละขณะที่ผ่านไปแล้วอีก

เพราะฉะนั้น มันเดินหน้าตลอด แต่ว่าไม่มีใครรู้ว่าอันเก่ามันไม่เหลือ มันก็มีอันใหม่ที่ทำให้เราคิดถึงว่ามันจะต้องเป็นอย่างนี้ อย่างนี้ อย่างนี้ ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวเราก็จะกลับบ้าน เดี๋ยวเราก็จะแวะสามชุก แต่ว่า เดี๋ยวนี้!! ที่เป็นปกติคือมันเกิดแล้ว ไม่ต้องไปหาความเป็นปกติที่ไหนเลย!!

เพราะฉะนั้น ท่านถึงได้ตรัสไว้ "เป็นผู้มีปกติเจริญสติปัฏฐาน" ถึงจะสามารถรู้ได้ว่าเดี๋ยวนี้ไม่มีใครไปทำให้เกิด เกิดแล้วดับแล้วด้วย แล้วอีกนานเท่าไหร่กว่าจะรู้ว่า กว่าที่เราสะสมมาเนิ่นนานจะเป็นกัปหนึ่งก็ได้ หรืออย่างไรๆ ก็ตามแต่ จะถึงเวลาที่มันดับ เมื่อนั้นแหละ เราหรือ?

เพราะฉะนั้น เราก็ได้แต่พูดว่า ไม่ใช่เรา เห็นไม่ใช่เรา ได้ยินไม่ใช่เรา เราก็พูด ใช่ไหม? แต่คำพูดทุกคำมันจะเก็บอย่างชนิดซึ่ง น้อยมาก เพราะว่าอย่างอื่นมันเยอะมาก ใช่ไหม? ในแสนโกฏิกัปป์ จิตของคนเป็นสภาพที่ไม่ปรากฏสีสันวรรณะให้รู้ว่ามันดำหรือว่ามันขาวหรือมันอะไรเลยทั้งสิ้น แต่มันสะสมทุกอย่างที่เป็นกุศลและอกุศล ตรงนี้ค่ะ แม้แต่กุศลนิดหนึ่งเกิดแล้ว ดับแล้ว สะสมแล้ว!!

อกุศลนิดหนึ่งเกิดแล้วไม่ได้หายไปไหนเลย มันเกิดที่จิต มันก็อยู่ที่จิต ตัวจิตที่เกิดขึ้นขณะนั้นดับ แต่สิ่งที่มันมีแล้วในจิตนั้นมันสืบต่ออยู่ในจิตต่อๆ ไป มันถึงได้ แต่ละหนึ่งก็อัธยาศัยต่างๆ กัน

แต่ก็เป็นบุญ ที่ได้ฟังธรรมะ จะน้อย จะมาก จะอย่างไร สนุกสนานร่าเริง มันก็เป็นสิ่งซึ่งมีในจิตแล้ว แต่ว่ามันต้องสะสมต่อไป เพราะว่าอย่างอื่นมันขึ้นมากลบ เหมือนอย่างมีเมล็ดพืชที่อยู่ในจิต แต่ไม่มีการบำรุงรักษาเลย แล้วอกุศลทั้งหลายมันก็มาเบียดเบียน อย่างชาวนาปลูกข้าวมันก็ไม่ได้งอกงามอะไร

แต่ว่าจริงๆ คือ ถ้าใครยังไม่รู้ว่า ธรรมะคือเดี๋ยวนี้ เขาไม่มีทางถึงธรรมะได้!!

ต้องเดี๋ยวนี้ทั้งหมด!! แตะนี่ก็ธรรมะแล้ว (ท่านอาจารย์แตะมือที่โต๊ะ) เห็นนี่ก็ธรรมะแล้ว คิดก็ธรรมะแล้ว เสียงก็ธรรมะแล้ว เพราะฉะนั้น กว่าทุกอย่างเป็นธรรมะ เราก็ลองคิดดูก็แล้วกัน เมื่อไหร่ปัญญาจะถึงระดับที่ เดี๋ยวนี้เป็นปกติที่จะรู้ว่าเป็นธรรมะ!!!

เพราะจากฟัง ก็เก็บคำว่า "เดี๋ยวนี้เป็นธรรมะ" แล้วก็มีเห็น มีได้ยิน นี่ก็เก็บไว้แล้ว แต่มันยังไม่ถึงเวลาที่ "เขาเกิดเอง โดยเป็นสติสัมปชัญญะ" มีแต่ "ความไม่รู้" จะไป "ทำ" มันก็หมด หมายความว่า ไม่ใช่ความเข้าใจธรรมะที่ลึกซึ้ง ที่จะเห็นว่าพระพุทธเจ้าท่านเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า กว่าจะได้เป็น เพื่อใคร? ก็เพื่อทุกคน ซึ่งรู้เองไม่ได้!!!

เราสนุกกันทั้งวันเราก็รู้ไม่ได้ แต่พอฟังพระธรรม ทีละเล็ก ทีละน้อย เราเริ่มเข้าใจ ค่อยๆ รู้ว่า สิ่งที่ปรากฏนี้แหละ เป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ไม่ได้รู้อื่น อย่างอื่นมันไม่มี!! เดี๋ยวนี้มีอะไรนั่นแหละสิ่งที่เกิดแล้ว แล้วก็ปรากฏว่า ไม่มีใครไปทำให้เกิดด้วย แล้วก็ดับไปโดยไม่มีใครรู้ด้วย!!

เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรมก็เพื่อสะสมความเห็นถูกไปชำระล้างจิต ซึ่งมันจะมีอะไรเยอะแยะเราก็ไม่รู้ได้ จนกว่าเกิดเมื่อไหร่ ปรากฏว่ามี อยู่ตรงนี้ สะสมมา ยังไม่ได้หมดไป อย่างความโกรธ มันก็ไม่ได้อยู่ที่ไหน มันอยู่ในจิต ยังไม่ถึงเวลามันก็ไม่เกิด แต่พอถึงเวลามันก็ เพราะมีตรงนี้มันถึงเป็นปัจจัยให้เกิดขึ้นมาอีกได้

เพราะฉะนั้น ธรรมะนี่ ฟังก็ฟังให้เข้าใจอย่างเดียว ไม่ต้องไปทำอะไรเลยทั้งสิ้น เพราะมันเป็นธรรมะที่เกิดแล้ว แล้วใครจะไปทำอะไร? ใช่ไหม? ทั้งหมดมันเกิดแล้ว นอกจากฟังแล้วก็มีความเข้าใจขึ้นว่า ถึงเวลา การที่สะสมไว้แล้วเขาก็จะเป็นไปตามที่เขาสะสม

ทำไมเราคิดเรื่องที่เราสนุกสนาน เพราะสะสมมาเป็นอย่างนี้ ใช่ไหม? คนอื่นเขาเป็นอย่างนี้ไม่ได้หรอก แต่ละหนึ่งก็เป็นแต่ละหนึ่งจริงๆ เพราะฉะนั้น แต่ละหนึ่งที่สะสมความเข้าใจถูก ความเห็นถูก วันหนึ่งก็จะถึงเวลาที่สามารถที่จะรู้ว่า อ้อ...สติเป็นอย่างนี้ สัมปชัญญะเป็นอย่างนี้ ไม่ต้องเรียกชื่อ เพราะว่าตอนที่ตรัสรู้ไม่มีชื่อเลย เหมือนธรรมะเดี๋ยวนี้ ไม่มีชื่อเลย!!

แต่ว่า ธรรมะเดี๋ยวนี้เกิด แล้วไม่รู้ตาม ตามเลย ที่เราเรียนวิถีจิต รูปยังไม่ทันดับเลย กุศลจิตหรืออกุศลจิตเกิดแล้วก่อนรูปดับ เพราะฉะนั้น เวลานี้เราไม่รู้ว่ารูปดับเร็วแค่ไหน? มากแค่ไหน? เพราะฉะนั้น ความไม่รู้ มากแค่ไหน? กว่า "ความรู้" จะ "ตาม" แทน "ไม่รู้" ไปหมด จนกระทั่ง ทุกอย่างเป็นธรรมะ

นี่คือการอบรม ที่ใช้คำว่า "ภาวนา" ไม่ใช่ทำอย่างอื่นเลย แต่ก่อนอื่น ต้องเป็น "สัจจญาณ" ความเข้าใจที่มั่นคงจริงๆ ว่า ธรรมะ คือ เดี๋ยวนี้!!!

ทั้งๆ ที่มันไม่ปรากฏเป็นธรรมะเลย เป็นเห็น เป็นคิด เหมือนเดิม

คุณน้อย ท่านอาจารย์พูดว่า ธรรมะคือเดี๋ยวนี้ ทุกอย่างเป็นธรรมะ สัญญาก็จะจำแต่ ทุกอย่างเป็นธรรมะ เดี๋ยวนี้เป็นธรรมะ

ท่านอาจารย์ ค่อยๆ ค่อยๆ ฟัง คือ ถ้าไม่ฟังก็คิดว่าธรรมะอยู่ที่อื่น ลืมว่า "เดี๋ยวนี้" ใช่ไหม? เพราะฉะนั้น ถึงฟังอย่างนี้ กว่าจะรู้ว่า นี่ๆ ๆ ๆ (เคาะโต๊ะ) เป็นธรรมะ ใช่ไหม? กว่าจะถึงตรงนี้ล่ะ (ชี้ไปที่จมูก) กว่าจะถึงตรงนี้ล่ะ (ชี้ไปที่ตา) กว่าจะถึงตรงนี้ล่ะ (ชี้ไปที่หู) ว่าเป็นธรรมะ แต่ว่าฟังมาแล้วเท่าไหร่ ใช่ไหม?

กว่าเขาจะเป็นสัญญา ความจำ ที่มั่นคงตามที่ได้ฟัง ว่า ขณะนี้ธรรมะ ไม่ใช่เรา!! เห็นนี่เป็นธรรมะไม่ใช่เรา ค่อยๆ เพิ่มความเข้าใจว่า ธรรมะคือสิ่งที่มีจริง แต่ว่าไม่ใช่เรา!!

เพราะฉะนั้น ขณะนี้ยังไม่ได้รู้เลย ว่าธรรมะคือสิ่งที่มีจริง มีจริงต้องตามธรรมดา เดี๋ยวนี้แหละ!!!

คุณม้อ อาจารย์คะ ถ้าสะสมของเราไปเรื่อยๆ อย่างนี้ สภาพธรรมมันจะอัตโนมัติ แบบมองเป็นด้านที่ว่า...

ท่านอาจารย์ อย่างไรก็ตามแต่ค่ะ "ไม่มีเรา" แต่ "เข้าใจเพิ่ม" อย่างเราไปเรียนหนังสือ ก็มีเด็กสองคนไง พี่เขาเข้าโรงเรียน อ่านหนังสือออก น้องร้องไห้กลัวจะอ่านหนังสือไม่ออก กลัวถึงเวลาแล้วจะอ่านหนังสือไม่ออกอย่างพี่ (หัวเราะ)

เพราะฉะนั้น ที่เขาไปโรงเรียนแต่ละวันที่เขาเห็นแต่ละตัวนี่ จากคนที่ไม่เคยเห็นเลย ก็คือว่า "เข้าใจ" เพราะฉะนั้น ตัวตนนี่ต้องออกไป เพราะเข้าใจ แต่ขณะนั้นก็เป็นเราอยู่แล้วตลอดไป จนกว่าความเข้าใจเขาถึงระดับที่เขาจะเห็นตัวธรรมะ!!!

ตอนนี้ตัวธรรมะมี แต่ไม่ปรากฏกับความเข้าใจ มีแล้วก็อวิชชาตามเลย คือเขาตามตลอดทุกวาระของจิตที่เกิดขึ้น จิตนี่เขาต้องเกิดขึ้นทีละหนึ่งขณะ จะซ้อนกันไม่ได้เลย ถ้าจิตนี้ไม่ดับ จิตอื่นเกิดไม่ได้ ต้องจิตนี้ดับไปแล้วที่ใช้คำว่าอนุขณะ คือขณะเกิดไม่ใช่ขณะดับและขณะที่ไม่ใช่ขณะเกิดขณะดับคือขณะที่ยังตั้งอยู่ชั่วคราว เมื่อทั้งสามขณะนี้ปราศไป หมดไปแล้ว เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดได้ แล้วเวลานี้เท่าไหร่แล้ว? นับไม่ถ้วน!!

เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่มีพระองค์ ไม่มีทางที่สัตว์โลกจะรู้ความจริงได้เลย มืดสนิทเลย เหมือนคนตาบอด เมื่อวานนี้เราสนุกแค่ไหน? ลืมแล้ว หมดแล้ว ไม่เหลือแล้ว ใช่ไหม ใครนึกออกบ้าง? ได้เพียงบางส่วน แต่ส่วนที่เป็นจริงๆ แต่ละหนึ่งขณะมันไม่มีทาง อย่างไรๆ ก็ใครไปจำให้ครบถ้วน เป็นไปไม่ได้ ทุกวันเป็นอย่างนี้ แล้วอะไรเหลือ? ในชาติหนึ่ง ชาติหนึ่ง ก็มีแต่สิ่งซึ่งมันเป็นไปโดยไม่มีการเข้าใจความจริง

กับสิ่งที่ขณะนี้กำลังฟัง สะสมบุญ เหมือนชาติก่อน จำไม่ได้เลยอยู่ไหน แต่ว่าเดี๋ยวนี้กำลังเป็นอย่างนี้!! ชาติหน้าก็ไม่รู้อยู่ไหน เคยทำอะไรไว้ แต่ความเข้าใจที่ได้สะสมไว้ สะสมอยู่ในจิต เป็นปัจจัยให้มีโอกาสได้ยิน ได้ฟัง แต่ลองคิดดู ชาติหน้าเป็นนก ชาติโน้นเป็นงู ชาตินี้เป็นช้าง เมื่อไหร่จะได้ฟังอีก ใช่ไหม?

แต่ว่า แต่ละชาติที่เกิดมาแล้วมีโอกาสได้ฟัง คนที่สะสมมาเท่านั้นที่จะเห็นประโยชน์ จะมาก จะน้อย ก็ยังรู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้สิ่งที่มี แต่ความจริงเขาใช้คำว่าตรัสรู้คำเดียว แต่เขาไม่รู้ว่ารู้อะไร? แต่เดี๋ยวนี้ นี่แหละทั้งหมด จิตแต่ละหนึ่งขณะเกิดพร้อมเจตสิกเท่าไหร่ แล้วก็เจตสิกแต่ละหนึ่งเป็นปัจจัยโดยสถานะต่างกัน ความเป็นเจตสิกนั้นๆ เป็นปัจจัยโดยต่างกัน ผัสสะเขาก็เป็นปัจจัยโดยฐานะของผัสสะ ความรู้สึกเขาก็เป็นปัจจัยโดยฐานะของความรู้สึก แต่ละหนึ่งเกิดพร้อมกันดับพร้อมกัน แล้วใครไปรู้? ต้องฟังพระธรรมอย่างเดียว!!

เพราะฉะนั้น ฟังแล้วไม่ใช่ไปทำอะไรเลยทั้งสิ้น!!! "เข้าใจ" ขณะไหนหลงลืมสติก็รู้ เป็นธรรมดา คือเป็นธรรมะ จนกว่าแม้ขณะนั้นก็เป็นธรรมะ

เพราะฉะนั้น การที่จะรู้แจ้งสภาพธรรมะตามความเป็นจริงถึงการดับกิเลสได้ ได้จริงๆ !!!

เพราะว่า กว่าจะเข้าใจว่าหนทาง หนทางรู้และเข้าใจโดยตลอด ถ้าไม่เข้าใจ ไม่ใช่หนทาง ถ้าไม่รู้ ก็ไม่ใช่หนทาง

เรื่องผิดมีมาก เพราะเหตุว่าสะสมความไม่รู้ไว้เยอะมาก แล้วจะไม่ผิดได้อย่างไร? แต่พระธรรมแต่ละคำ ทำให้ผู้เข้าใจรู้ได้เลยว่าอะไรผิด จึงละได้ จึงละหนทางที่ผิดได้ อย่างโลภะ ถ้าไม่รู้จักโลภะ แล้วละโลภะไหน? ไม่เห็นเลย หน้าตาเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ แต่พอโลภะเกิด เป็นธรรมะชนิดหนึ่ง แค่สิ่งที่มีจริงที่เป็นลักษณะนี้ ไม่ใช่ลักษณะอื่น กว่าจะไม่ใช่เรา!!

เพราะฉะนั้น ประมวลคำสอนทั้งหมด "ธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา" คำเดียว ถึงความเป็นพระอรหันต์

...ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ หุบป่าตาด จังหวัดอุทัยธานี...

ขออนุโมทนาในกุศลทุกประการของคุณเบญจวรรณ รัศมีสุวรรณกุล และเพื่อนๆ

"...พระธรรมแต่ละคำทำให้ผู้เข้าใจ รู้ได้เลยว่าอะไรผิด จึงละได้ จึงละหนทางที่ผิดได้..."

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณเบญจวรรณ รัศมีสุวรรณกุล และเพื่อนๆ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
panasda
วันที่ 29 ม.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 29 ม.ค. 2559

สาธุ อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 29 ม.ค. 2559

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
apiwit
วันที่ 29 ม.ค. 2559

กราบอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
j.jim
วันที่ 30 ม.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
khampan.a
วันที่ 31 ม.ค. 2559

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณเบญจวรรณ รัศมีสุวรรณกุล และเพื่อนๆ

ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ปาริชาตะ
วันที่ 3 ก.พ. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ