จะบาปหนักไหมครับ

 
2010877
วันที่  4 ม.ค. 2560
หมายเลข  28497
อ่าน  746

คุณแม่ผมเป็นมะเร็งปอด เหลือปอดข้างเดียวต้องใช้อ็อกซิเจนเกือบตลอด คุณหมอให้ออกจากโรงพยาบาลมาได้ 2 วัน ผมและพี่สาวไปทำงาน ในวันที่ 6 ธ.ค. โดยมีคุณพ่อเป็นคนดูแลคุณแม่อยู่ ในวันนั้นอาการของคุณแม่กำเริบ ไอเป็นเลือด คุณพ่อโทรตามผมให้ผมนั่งรถแท็กซี่ และให้รถแท็กซี่รออยู่หน้าปากทาง เพื่อจะนำไปส่งโรงพยาบาลอีกที ซึ่งผมตอนนั้นทำงานอยู่ แต่ก็รับปากด้วยหน้าที่ลูก ในตอนนั้นผมไม่อยากไปเนื่องจากอยู่ในเวลางาน และที่ผ่านมาลาบ่อยแล้ว แต่ก็รับปากไป คุณพ่อโทรตอน 15.46 ถึงบ้านโดยประมาณ 16.10 ผมไปถึงบ้านใช้เวลาประมาณ 20 กว่านาที จากแถวยศเส ถึง ซอยเพชรบุรี 20 แต่ไปถึงบ้าน คุณแม่ก็สิ้นลมไปแล้ว คุณพ่อเล่าว่าคุณแม่ไปถ่ายอุจาระที่กระโถน แล้วล้มหัวฟาดพื้นไม่ได้สติ และคุณพ่อและคนข้างบ้านเข้ามาบอกให้รอรถฉุกเฉิน ซึ่งรถฉุกเฉินกว่าจะมาก็ 16.30 โดยประมาณ ความรู้สึกผิด

1. ตอนมาถึงป้ายรถเมล์เพื่อรอเรียกแท็กซี่ โทรกลับไปหาพ่ออีกครั้ง ถามอาการแม่คุณพ่อบอกว่ายังไม่ดีขึ้น เราก็บอกว่ารอแท็กซี่ตั้งนานแล้วไม่มีวางสักที คุณพ่อถามอีกว่าให้เรียกข้างบ้านช่วยไหมจะได้ตามรถฉุกเฉินมา แต่บังเอิญแท็กซี่มาพอดี เราก็เลยบอกเดี่๋ยวก่อน แท็กซี่มาพอดีเลย คุณพ่อก็กำชับให้รีบมานะ (ข้างบ้านตอนคุณพ่อกับแม่ยังแข็งแรงไม่ถูกกับเขา) ไม่รู้ว่าสั่งพ่อไปแล้วจะดีรึเปล่า ตัดสินใจไม่ถูกครับ คุณพ่อก็ไม่กล้าตัดสินใจ และผมไม่อยู่ในเหตุการณ์ ก็ยิ่งไม่กล้าสั่งอีก ตอนพ่อป่วยโรคกระเพาะ เคยเรียกเขา แล้วรถฉุกเฉินมานานมาก พ่อหนีขึ้นแท็กซี่ไปก่อน กลัวมีปัญหา เมื่อเราไปถึงก่อนกรณีส่งโรงพยาบาลได้ แต่บังคับให้รอ ตัดสินอะไรไม่ถูกด้วยครับว่าอย่างไหนจะดีที่สุด

2. วันนั้นไม่กล้าเร่งคนขับแท็กซี่ เพราะกลัวโดนด่า และจิตคิดไม่ดี คือ คิดว่าถ้าดวงไม่ถึงฆาตคงไม่เป็นอะไร และในใจกลัวพาคุณแม่มาเสียชีวิตบนแท็กซี่ เพราะถังอ็อกซิเจนสำรองเริ่มหมด เนื่องจากท่านนำมาใช้โดยไม่จำเป็น แต่บางครั้งท่านก็อยู่ได้โดยไม่ต้องใช้อ๊อกซิเจน อยากให้เลือดหยุด แล้วค่อยพาขึ้นให้เป่าอ๊อกซิเจนจนหายเหนื่อยน่าจะปลอดภัยกว่า

จะบาปหนักไหมครับ ถึงขั้นอนันตริยกรรมรึเปล่าครับ ทุกวันนี้เสียใจโดยตลอด


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
2010877
วันที่ 4 ม.ค. 2560

ขอถามอีกครับ ในกรณีที่คนอี่นบอกว่าถ้าคนเราไม่ถึงวาระคงยังไม่ตาย นี่จริงไหมครับ ทั้งที่ผมก็พยายามไปช่วยท่านแล้วแต่ยังช่วยไม่ได้อีก

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 7 ม.ค. 2560

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

โดยปกติการทำงาน ถ้ามีเหตุด่วนที่จำเป็น ก็สามารถบอกกล่าวกับผู้ที่เป็นหัวหน้า หรือผู้บังคับบัญชาได้ ว่า มีธุระสำคัญที่จะต้องไปดูแลคุณแม่ เป็นสิ่งที่สามารถที่กระทำได้ แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปหมดแล้ว ในเมื่อไม่มีเจตนาที่จะทำร้ายเบียดเบียนให้มารดาเสียชีวิต ก็ไม่ได้เป็นอนันตริยกรรม ไม่ได้เป็นบาปกรรมแต่อย่างใด ขณะนี้ ที่จะเป็นประโยชน์ ไม่ใช่การเศร้าโศกเสียใจ แต่เป็นควรจะเป็นการทำความดี แล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้ท่าน

เราไม่สามารถจะรู้ได้เลยว่า จุติจิตจะเกิดขึ้นเมื่อใด (จุติจิต เป็นจิตขณะสุดท้ายของชาตินี้ เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น) แต่ก็ต้องเกิดแน่ๆ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง เกิดมาแล้วก็จะต้องตายด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีเว้นเลย สิ่งสำคัญที่ควรจะได้พิจารณา คือ จะตายไปพร้อมกับความไม่รู้ มากไปด้วยความติดข้อง ความโกรธความขุ่นเคืองใจ ความริษยา ตลอดจนถึงความไม่ดีประการต่างๆ มากมาย หรือจะตายไปพร้อมกับความรู้ที่ค่อยๆ เจริญขึ้น จากการได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ควรที่จะเป็นผู้มีชีวิตอยู่เพื่ออบรมเจริญปัญญาและสะสมกุศล ต่อไป ครับ

ขอเชิญคลิกศึกษาเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ

ความตายไม่มีนิมิต

...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
p.methanawingmai
วันที่ 9 ม.ค. 2560

สาธุค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
wannee.s
วันที่ 17 ม.ค. 2560

ไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ผ่านไปแล้ว ให้อยู่กับปัจจุบัน และไม่ประมาทในการฟังธรรม การเจริญกุศลทุกประการ และ การอุทิศกุศลให้กับมารดาฯลฯ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
chatchai.k
วันที่ 18 พ.ย. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ