ชีวิตเป็นส่วนหนึ่งของธรรมะ หรือ ธรรมะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต????

 
แสวงรวยสูงเนิน
วันที่  20 ม.ค. 2560
หมายเลข  28550
อ่าน  1,024

การเผยแผ่หลักธรรมะ ที่ผ่านมา ส่วนใหญ่จะชี้นำให้รู้สึกว่า ธรรมะเป็นส่วนหนึ่ง (เสี้ยวหนึ่ง) ของชีวิต ทำให้ฟังดูเสมือนว่า จะศึกษา หรือ ไม่ศึกษา ก็ได้ และเมื่อเข้าใจอย่างนั้น แม้ไม่ศึกษาธรรมะ ก็มีเรื่องอื่นๆ ให้ศึกษา ให้ทำ (ประกอบอาชีพ) อย่างมากมาย จนกระทั่งทำให้คนจำนวนมาก ไม่มีเวลา หรือ ไม่เห็นความสำคัญของธรรมะ และไม่เห็นความสำคัญของการศึกษาธรรมะ

และ แม้แต่ในวงการศาสนาพุทธส่วนใหญ่ในประเทศไทย ก็ยังดูเสมือนว่า จะมีคนมองไปถึงกับว่า "การบวช" เป็นเพียงอีกทางเลือกของการใช้ชีวิตสำหรับคนที่ชอบบวช (เท่านั้นเอง) หรือ มองไปไกลถึงกับว่า เป็นอีก "อาชีพ" หนึ่ง (หาเงิน สะสมทัพย์สิน หาปัจจัย 4 เก็บเงินไว้แต่งงาน สร้างบ้านฯลฯ) ในการดำรงชีวิต เท่านั้นเอง ที่กลายเป็นกระแสหลักของการรับเงินรับทองของพระภิกษุ

แต่ความเป็นจริง นั้น ชีวิตเป็นส่วนหนึ่งของธรรมะ ทีมิอาจหลุดพ้นไปได้ ด้วยประการทั้งปวง ดังนั้น จึงเป็นสิ่งที่น่าคิดว่า จะทำอย่างไร ให้ความจริง (ชีวิตเป็นส่วนหนึ่งของธรรมะ) นี้ สามารถพัฒนาไปเป็น "สังคมมติ" แทนที่จะเป็นเพียง "แนวคิด" "ความเชื่อ" ของคนกลุ่มหนึ่งที่ "เชื่อ" เรื่องนี้ เท่านั้น

นี่คือแนวคิดหนึ่งที่จะทำให้ "ความจริง" เป็นเรื่องที่รู้และยอมรับกันทั่วไป แทนที่จะเป็นเพียง "ความเชื่อ" เท่านั้นเอง

เมื่อ "ชีวิตเป็นส่วนหนึ่งของธรรมะ"กลายเป็น "สังคมมติ" รู้กันทั่วไปแล้ว ใครจะเลือกทำ เลือกปฏิบัติอย่างไร ก็เป็นกรรมของแต่ละคนแล้วครับ

ผิดพลาดอย่างไร ขออภัย มา ณ ที่นี้ครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 20 ม.ค. 2560

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

คำว่า ชีวิต แปลตามศัพท์ได้ว่า ความเป็นอยู่ เมื่อกล่าวโดยประมวลแล้วไม่พ้นไปจากความเกิดขึ้นเป็นไปของสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ แต่ละขณะๆ ที่จิตเกิดขึ้นเป็นไป เรียกว่า ชีวิต ชีวิตจึงเป็นความเกิดขึ้นเป็นไปของสภาพธรรมที่เป็นนามธรรม และ รูปธรรม ซึ่งไม่มีใครจะสามารถยับยั้งได้เลย และชีวิตก็เล็กน้อย สั้นมาก เมื่อเกิดมาแล้วก็บ่ายหน้าไปสู่ความตายทุกทีๆ

ถ้าจะถามว่า เกิดมาแล้วจะทำอะไรกับชีวิตที่น้อยๆ นี้? แต่ละบุคคลก็อาจจะตอบกันไปคนละอย่างตามการสะสม แต่สำหรับบุคคลผู้ที่ได้ยินคำว่า พระพุทธศาสนา และได้สะสมความเห็นถูกที่เห็นประโยชน์สูงสุดในชีวิต ย่อมจะมีความเข้าใจว่า ทุกคนเกิดแล้วต้องตาย ไม่มีใครล่วงพ้นความตายไปได้เลยแม้แต่คนเดียว สิ่งที่คิดว่าได้มาแล้วทั้งหมด ที่แสวงหาอยู่ทุกๆ วัน แม้แต่เมื่อวานนี้ ขณะนี้อยู่ที่ไหน ความสุขเมื่อวานนี้ อยู่ที่ไหน สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสนุกสนานเพลิดเพลิน อาหาร หรือ ลาภ ยศ สักการะ สรรเสริญ เป็นต้น เหล่านี้ ไม่สามารถจะติดตามไปถึงโลกหน้าได้เลย

ประโยชน์สูงสุดที่เกิดมาในแต่ละภพแต่ละชาติ แท้จริง ก็คือ การศึกษาพระธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนา ซึ่งจะทำให้ผู้ที่ได้ฟัง ได้ศึกษา มีความเข้าใจถูกเห็นถูก เป็นที่พึ่งในชีวิตได้จริง เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจให้สะสมกุศล คือ ความดี นำมาซึ่งประโยชน์ในโลกนี้ ประโยชน์ในโลกหน้า และประโยชน์สูงสุด คือ สามารถทำให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง หมดจดจากกิเลสได้ในที่สุด มีแต่จะนำมาซึ่งประโยชน์โดยส่วนเดียวเท่านั้นจริงๆ ซึ่งต้องเริ่มที่การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมตั้งแต่ในขณะนี้ ครับ

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑

คำว่า นักปราชญ์ทั้งหลายได้กล่าวชีวิตนี้ว่า เป็นของน้อย มีความว่า ชีวิต ได้แก่อายุ ความตั้งอยู่ ความดำเนินไป ความให้อัตภาพดำเนินไปความหมุนไป ความเลี้ยง ความเป็นอยู่ ชีวิตินทรีย์

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
แสวงรวยสูงเนิน
วันที่ 20 ม.ค. 2560

ใช่เลยครับ ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 20 ม.ค. 2560

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ชีวิตดำรงอยู่เพียงชั่วขณะจิตเดียว เป็นความจริงอย่างนี้จริงๆ และควรที่จะได้เข้าใจว่า จิต คือ อะไร? จิต เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นสภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ ตั้งแต่ตื่นจนหลับ ตั้งแต่มาจนกระทั่งถึงขณะนี้ ไม่เคยปราศจากจิตเลย มีจิตเกิดดับสืบต่อกันอยู่ตลอดเวลา จิต เป็นธรรม ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน

ไม่ว่าจะเกิดเป็นใคร มีอายุยืนนานอยู่เพียงใด ก็ดำรงอยู่เพียงชั่วขณะจิตเดียวเท่านั้น จิตขณะหนึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไป เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้น จิตไม่สามารถเกิดขึ้นพร้อมกันสองดวงหรือสองขณะได้ หรือ ไม่ใช่ว่าจะมีจิตดวงเดียวเกิดขึ้นเป็นสิ่งยั่งยืนตลอดไป เพราะตามความเป็นจริงแล้ว มีจิตเกิดดับสืบต่อกันอยู่ตลอดเวลา อย่างไม่ขาดสาย เป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศลบ้าง เป็นวิบากบ้าง เป็นกิริยาบ้าง ตามความเป็นไปของจิต ซึ่งก็เป็นอย่างนี้มานานแล้วในสังสารวัฏฏ์ ทุกขณะของชีวิตคือการเกิดดับสืบต่อกันของจิต รวมถึงสภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต คือ เจตสิก ด้วย

มีชีวิตอยู่จนถึงวันนี้ ก็เพื่ออบรมเจริญปัญญา ทุกๆ วันจึงเป็นโอกาสที่ดี ที่จะได้ทำชีวิตที่ยังมีอยู่ ยังเหลืออยู่นี้ ให้เป็นชีวิตที่มีค่ามากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ให้เป็นชีวิตที่มีขณะจิตที่ดี (ดี ด้วยกุศลธรรม) ด้วยการสะสมปัญญา จากการฟังพระธรรมในแต่ละครั้ง สะสมอริยทรัพย์ซึ่งเป็นทรัพย์อันประเสริฐให้กับตนเองต่อไป จึงจะเป็นผู้มีชีวิตที่ไม่ว่างเปล่าจากประโยชน์ ไม่เสียชาติเกิด ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วได้ฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง ซึ่งเป็นการฟังสิ่งที่ประเสริฐที่สุดในชีวิต ครับ

...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Lertchai
วันที่ 21 ม.ค. 2560

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
jaturong
วันที่ 23 ม.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 26 ม.ค. 2560

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
worrasak
วันที่ 21 ก.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
chatchai.k
วันที่ 26 ธ.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ