ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ เทศบาลนครนนทบุรี ๒๗ เมษายน ๒๕๖๐

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  3 พ.ค. 2560
หมายเลข  28812
อ่าน  2,798

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวัน พฤหัสบดี ที่ ๒๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๐ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา และวิทยากรของมูนิธิฯ ผศ.อรรณพ หอมจันทร์ อาจารย์ธีรพันธ์ ครองยุทธ อาจารย์คำปั่น อักษรวิลัย ได้รับเชิญจากสมาชิกชมรมบ้านธัมมะนนทบุรี โดยคุณดาวรุ่ง สกุลทองใบ สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ลำดับที่ ๑๑๘๔ และเพื่อน เพื่อไปสนทนาธรรมที่ ห้องประชุมชั้น ๕ อาคารศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ เทศบาลนครนนทบุรี

คุณยายเนื่อง มีชูอรรถ อายุ ๙๙ ปี อดีตพยาบาล ฟังพระธรรมจากการบรรยายของท่านอาจารย์มานานร่วม ๗๐ ปีแล้ว เคยได้รับรางวัลคุณแม่ดีเด่น และเป็นคุณแม่ของ พลเอก รวมพล มีชูอรรถ และ พลโท แดน มีชูอรรถ อดีตเจ้ากรมแผนที่ทหาร เพื่อนร่วมรุ่นของ พลเรือโท นพดล สุธัมมสภา สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ.ลำดับที่ ๙๖๒ คุณยายเนื่องเดินทางมาจากลำลูกกา เพื่อมาร่วมฟังการสนทนาธรรมในวันนี้

อันดับต่อไป ขออนุญาตนำความการสนทนาบางตอน มาบันทึกไว้เพื่อประโยชน์แก่ท่านที่สนใจที่จะได้อ่านและพิจารณา ดังนี้

ท่านอาจารย์ ต่อไปนี้ พอได้ยินคำว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา รู้เลยใช่ไหม? เดี๋ยวนี้!! ทุกอย่างที่มี เกิดแล้วดับ อนิจจัง ดีหรือ? แค่เกิด-ดับ แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย เป็นทุกข์ใช่ไหม? ใครก็ตาม ที่เพียงแค่เกิดแล้วดับ มีประโยชน์อะไร? ไม่มีประโยชน์เลย แต่ไม่เคยเห็นโทษว่า อยู่ดีๆ จากไม่มี แล้วก็มี แล้วก็หามีไม่ หายไปเลย ก่อนนี้ไม่มี ชาติก่อนนี้ ไม่มีเราคนนี้ ถูกต้องไหม? แล้วก็มีเรา แล้วก็จะไม่มีเรา เมื่อจากโลกนี้ไป

เพราะฉะนั้น ทุกข์ไหม? หรือดี ที่เกิดมา? ยังไม่เห็นว่าการเกิดเป็นทุกข์ ๔๕ พรรษาที่ทรงแสดงพระธรรม คุณค่าของแต่ละคำ ไม่ใช่ให้ "มีตัวตน" ไปพากเพียร พยายาม จะรู้นั่น รู้นี่ แต่ไม่ได้ "ละความไม่รู้" เลย แล้วก็ยัง "ติดข้อง" แต่ "พระธรรม" ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า "แต่ละคำ" ถ้ามี "ความเข้าใจ" ที่มั่นคงจริงๆ " เริ่มทีละคำ" และเข้าใจอย่างมั่นคง และ "ทุกคำที่จะได้ฟังต่อไป" ก็ "สอดคล้องกัน" ทั้งหมด

ใครจะไปทำอะไรที่สำนักปฏิบัติ? เพื่ออะไร? ทำไมต้องทำ? เดี๋ยวนี้ก็มี แล้วจะไป "ทำอะไร?" ใครทำได้? จะไป "ทำปัญญา" ทำอย่างไร ปัญญา? ไปนั่งอยู่ที่นั่น แล้วไปเดิน แล้วไป "บอกให้ทำ" อย่างโน้น อย่างนี้ เข้าใจว่าเป็นปัญญา ได้อย่างไร?

แต่ "พระธรรม" ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่างหาก จะนำมาซึ่ง "ความเห็นที่ถูกต้อง" เป็นที่พึ่งที่แท้จริง ที่เราใช้คำว่า มีพระธรรมเป็นที่พึ่ง "สรณัง คัจฉามิ" ถึงพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง โดย "เข้าใจธรรมะ" ไม่ใช่อยู่ดีๆ จะพึ่งอย่างไร? กราบไหว้ ไม่รู้อะไรเลย!! จะพึ่งได้อย่างไร? ไม่มีเหตุไม่มีผลเลย!! เพราะฉะนั้น ถ้าสิ่งหนึ่ง สิ่งใด ก็ตาม ที่กระทำไปด้วยความไม่รู้ "งมงาย" ไหม? อีกคำหนึ่งของ "โง่" ต้อง "ตรง" ไม่รู้ก็ต้องไม่รู้!!

เพราะฉะนั้น ประโยชน์ของ "การฟัง" เมื่อไหร่ก็ตาม ที่ไหนก็ตาม ขอให้ระลึกได้ว่า "เพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังได้ฟัง" ไม่ใช่ว่าให้ไป "คิดเอาเอง" ฟังคำไหน เข้าใจคำนั้น แล้วตอบได้ ตรงตามที่ได้ฟัง

เดี๋ยวนี้ อะไรอีกที่เป็นธรรมะ? เอาให้หมดเลย ยิ่งมากยิ่งดี เพราะว่าจะได้รู้ทั่วไปหมดว่า ไม่เว้นเลยสักอย่างเดียว ลองคิดดูว่ามีอะไรอีก? มีเห็น มีได้ยิน แล้วมีอะไรอีก? มีได้กลิ่น มีลิ้มรส มีอะไรอีก? สัมผัส กระทบ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง เย็นเป็นธรรมะหรือเปล่า? เห็นไหม? เดี๋ยวนี้ไม่มีความสงสัยเลย ในธรรมะ!! ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหนด้วย!! ใครถาม เราก็ตอบได้!! ใครไม่รู้ เขาตอบผิด เราก็รู้ว่า เขาไม่รู้จักธรรมะ!! แต่ว่าธรรมะมีจริงๆ กำลังมี มีทุกขณะด้วย!!

เพราะฉะนั้น นอกจากเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว เยอะแยะไปหมดเลย อะไรอีก? ลองคิด เดี๋ยวนี้ก็มี สักคำหนึ่ง สักอย่างหนึ่งสิคะ? นึกออกหรือยัง? ไม่ไกล อยู่นี่ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ คือ "คิด" คิดมีจริงไหม? มีจริง นั่นแหละธรรมะ!! คิดดีมีไหม? คิดไม่ดีมีไหม? "ดี" เป็นธรรมะหรือเปล่า? เป็น "ไม่ดี" เป็นธรรมะหรือเปล่า? เป็น ไม่เหลือเลย!! ในชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย นั่นคือ "เริ่มรู้จักธรรมะ" ต้องไป "ทีละคำ"

สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่มีความเกิดขึ้น เป็นธรรมดา สิ่งนั้นดับแน่ๆ ไม่เหลือเลย เป็น ไตรลักษณะ-ติลักขณะ หรือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เริ่มรู้แล้วใช่ไหม? สิ่งที่มองดูเหมือนไม่ดับเลย ลวงแล้ว!! เกิดดับ สืบต่อ เหมือนก้านธูปหนึ่งดอก ลวงให้เห็นเป็นวงกลม แสงไฟก็เหมือนกัน ทุกอย่าง หลอกลวงหมด เหมือนกับว่า ไม่รู้ความจริงเลย จนกว่าได้ฟังพระธรรม เห็นไหม? น่าอัศจรรย์ไหม? สิ่งที่มี ธรรมดา ธรรมดา แต่ไม่รู้ความจริงของสิ่งนั้น!!

เพราะฉะนั้น ความรู้ที่ "ตรงตามความเป็นจริง" ของสิ่งซึ่งกำลังเกิดดับ ซึ่งใครก็ไม่รู้ น่าอัศจรรย์!! รู้ได้ไหม? รู้ได้ไหม? ฟังแล้วนี่ รู้ได้ไหม? ถ้าไม่รู้ จะฟังทำไม? ถ้ารู้ไม่ได้ ไม่ต้องฟังเลย ไม่ต้องฟัง แต่เพราะเหตุว่า รู้ได้!! แต่ไม่ใช่เดี๋ยวนี้!! เพราะปัญญายังไม่พอที่จะรู้ถึงระดับนั้น!! แต่เริ่มต้นถูกต้อง คือ เริ่มเข้าใจถูกต้อง ว่า ธรรมะคือเดี๋ยวนี้!! ยังไม่รู้ก็คือยังไม่รู้ เริ่มฟังก็คือเริ่มฟัง เข้าใจเท่าไหร่ ความจริงก็คือเท่านั้น!!

เพราะฉะนั้น ต้องเป็นคนที่ "ตรงต่อความจริง" สัจจะ ธรรมะตรง ไม่งอ ไม่โค้ง ไม่โกง ไม่เบี้ยว อะไรเลยทั้งสิ้น!! "ความตรงต่อความจริง" จะสามารถทำให้เข้าใจธรรมะ ได้ถูกต้อง!!

เพราะฉะนั้น การสนทนาธรรม เป็นมงคลหนึ่ง ในมงคล ๓๘ เพราะอะไร? ต้องมีเหตุผลทุกอย่าง เพราะทำให้เข้าใจสิ่งซึ่ง ไม่รู้ ไม่เคยเข้าใจมาก่อน ถ้าสงสัย เราก็สนทนากัน จนกระทั่งเป็นความแจ่มแจ้ง

ต้องท่องไหม? ไม่ต้องท่องเลย!! ในครั้งพุทธกาล การฟังพระธรรม ไม่มีหนังสือ ไม่มีการจด แต่ว่า เข้าใจ ... แล้วจำ ... จริงไหม? เป็นธรรมะหรือเปล่า? (มีผู้ตอบว่าเป็น) เป็นเราหรือเปล่า? คะ? เป็นเราหรือเปล่า? ถ้า "เป็นธรรมะ" ต้องตรง "ไม่ใช่เรา" ต้องเป็นธรรมะ ธรรมะต้องเป็นธรรมะ!! นี่เริ่มเป็นคนตรง!! ถึงที่สุด มั่นคงจริงๆ ธรรมะเป็น "ของเรา" หรือเปล่า? (มีผู้ตอบว่า ไม่ใช่) เป็นของเราก็ไม่ได้ เพราะเป็นธรรมะ ธรรมะก็ต้องเป็นธรรมะ!!

เพราะฉะนั้น "เราเห็น" หรือเปล่า? เรา ... เห็น ... หรือเปล่า? หรือว่า ... ธรรมะ ... เห็น ... ไม่ใช่เรา!! ธรรมะเห็น ไม่มีเราเห็นธรรมะ กว่าจะค่อยๆ ธรรมะเป็นธรรมะ ไม่ใช่เรา เพราะว่า เห็นแล้วไม่เห็นอีก กำลังเห็น เพราะไม่รู้ ก็เข้าใจว่า "เห็นเป็นเรา" ถ้า "เห็น" ไม่เกิด จะมี "เราเห็น" ไหม? เห็นไหม? ถ้า "คิด" ไม่เกิด จะมี "เราคิด" ไหม? (มีผู้ตอบว่า ไม่มี) ถ้า "ได้ยิน" ไม่เกิด จะมี "เราได้ยิน" ไหม? (มีผู้ตอบว่า ไม่มี)

เพราะฉะนั้น หลงเข้าใจ "สิ่งที่เกิด" ว่า "เป็นเรา" จริงไหม? ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็ไม่มีเรา แต่เมื่อมี "สิ่งหนึ่งสิ่งใด" เกิดแล้วดับ ก็ไม่รู้ เพราะ "ความไม่รู้" จึงยึดถือว่า "นั่นเรา" หมดเลย!! เราเห็น เราคิด เราจำ เรารัก เราชัง เราสุข เราทุกข์ แต่ทั้งหมด เป็นธรรมะแต่ละหนึ่ง

"เริ่มรู้จัก" พระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือยัง? เห็นไหม? ไม่อย่างนั้นก็กราบไหว้ แต่ไม่รู้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ห่างไกลจากเราแค่ไหน? แค่คำว่าธรรมะ และพระปัญญาของพระองค์ที่ทรงตรัสรู้ ด้วยพระญาณต่างๆ เหนือบุคคลอื่นใดทั้งสิ้น จะมากกว่านี้สักแค่ไหน? แค่ตรัสคำเดียวว่า "ธรรมะ" เราก็ต้องศึกษาแล้ว ต้องเป็นผู้ตรง ต้องเป็นผู้เข้าใจจริงๆ จึงเริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า!!

ต่อไปนี้ ... กราบไหว้บูชา ... ด้วยความเข้าใจ ... ไม่ใช่กราบเฉยๆ แล้วก็ไม่เข้าใจอะไรเลย ก็ไม่มีประโยชน์!!

เพราะฉะนั้น วันนี้ทั้งวัน ไม่ใช่เฉพาะที่นี่ ที่บ้าน ที่ถนน อยู่ตรงไหนก็ตาม ธรรมะหมดเลย แต่ไม่รู้!! จนกว่าจะ..ค่อยๆ คิดได้ ... จำได้..ว่านี่ ... ธรรมะ!! ใช่ไหม? ทุกอย่างที่มี "ลักษณะที่ปรากฏ" เป็นธรรมะหมด!!

แล้วเมื่อไหร่จะรู้อย่างนี้??? นานไหม? วันนี้รู้แค่นี้ใช่ไหม? แต่ว่าทั้งหมดเลยเป็นธรรมะ เมื่อไหร่จะรู้อย่างนั้น เดี๋ยวก็ลืม ... แข็ง..มีไหม? ... ตรงไหน? ... เดี๋ยวนี้มี "แข็ง" ไหม? มี นั่นแหละธรรมะ!! ลืมแล้ว ไม่สนใจแล้ว แข็งก็แข็งไป เห็นไหม? "เป็นเรา" อยู่เรื่อย!! นานแสนนานมาแล้ว ไม่ใช่เฉพาะชาตินี้ชาติเดียว เกินแสนโกฏกัป แล้วจะค่อยๆ ละคลายความไม่รู้ และการยึดถือสภาพธรรมะว่าเป็นเรา เป็นผู้ที่ดำเนินรอยตามพระศาสดา เพราะทรงสอนให้เราเข้าใจถูก เพื่อจะได้ประพฤติปฏิบัติถูก

พระองค์ทรง "ดับกิเลส" กิเลสมีเยอะมาก ดับได้ไหม? อะไรดับกิเลส??? เห็นไหม? ทั้งหมดเป็นปัญญาหมด ที่ต้องคิด ต้องไตร่ตรอง อะไรดับกิเลส? คะ? นี่เริ่มคิดเอง เห็นไหม? แสดงให้เห็นว่า ทั้งหมดของคำตอบ "คิดเอง" ไม่ตรงกับความเป็นจริง ไม่รู้อะไรแต่พูด ตั้งแต่เกิดจนตาย พูดคำที่ไม่รู้จัก จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม เพราะคำตอบ ตอบว่า "ศีล" ใช่ไหม? แต่ว่า ความจริง "ปัญญา"

ถ้าไม่มี "ความเข้าใจ" อะไรเลย อะไรก็ดับกิเลสไม่ได้!! แม้ว่าพูดว่าทุกอย่างเป็นธรรมะเดี๋ยวนี้ ก็ยังไม่ได้ดับกิเลส ใช่ไหม? แต่ "เริ่มรู้หนทาง" ที่จะดับกิเลส!!!

เหนื่อยไหม? ดับกิเลส (มีผู้ตอบว่า..เหนื่อยมาก..) เหนื่อยมาก เพราะ "เป็นเราไปดับกิเลส" ผิด!! ไม่มีทางดับได้ ทำสิ่งซึ่งไม่มีประโยชน์เลย เพราะว่า ไม่ได้เป็นผู้ฟังพระธรรม แล้วก็เข้าใจ "คำ" ที่พระองค์ตรัส เพราะ "ไม่มีเรา" แต่ "ปัญญา" เมื่ออบรมมากขึ้น เจริญขึ้น ทีละเล็ก ทีละน้อย สามารถที่จะรู้ความจริง ตรงตามที่ได้ฟัง เพราะ กำลังเป็นความจริงอย่างนี้!!!

แต่ไม่ใช่ด้วย "ความเป็นเรา" เพราะว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง เพื่อละกิเลส อยากได้ไหม? อยากจะได้ไหม? อยากได้ เป็นกิเลส เพราะฉะนั้น "เอากิเลส" ไป "ได้กิเลส" แต่ไม่ได้ "ละ" แต่ไม่ใช่มีปัญญา!!

เพราะฉะนั้น ธรรมะเป็นเรื่องที่ ถ้าเห็นประโยชน์ จะขาดการฟังไม่ได้เลย เพราะ ฟังอะไร? ฟังคำที่น่าอัศจรรย์ กำลังเป็นจริงอย่างนี้เลย ก็ไม่รู้ ถูกปกปิดไว้ ด้วยความเป็นเรา ที่หนาแน่น ทึบมาก จนกว่าจะค่อยๆ คลายลง ไม่คำนึงถึง ว่ากี่ภพกี่ชาติ ขอให้ได้เข้าใจธรรมะ เพราะปัญญา ความเห็นถูก เท่านั้น ที่ทำหน้าที่ ละคลายความไม่รู้ ซึ่งเป็นมูลเหตุของกิเลสทั้งหมด

ผู้ฟัง บางครั้งนะคะอาจารย์ ก็มีคนรู้ แต่รู้ไม่จริง รู้มาผิดๆ แล้วก็ต่อเนื่องกันมา ซึ่งเราได้รับฟังจากคนอื่น ก็จะเพี้ยนไป หรือว่า อย่างที่อาจารย์บอก อย่างหนู รุ่นหนู ก็ไม่รู้อย่างนี้ เพราะไม่มีคนที่จะมาอธิบาย หรือว่าสื่อให้รู้ได้ ซึ่งมีมาก หนูกล้าพูดได้เลยว่า อย่างอาจารย์นี่มีกี่คนคะ ในประเทศไทย แม้แต่พระบางองค์ ก็ยังไม่สามารถพูดให้เข้าใจได้ แล้วถามว่า ก็เหมือนกับรู้มาแบบไม่จริง ก็จะเป็นอย่างนี้กันหมด ซึ่งสำคัญมาก เหมือนกับเราได้ปลูกฝังมาในสิ่งที่ไม่ใช่!!!

ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะฉะนั้น ถึงเวลาหรือยัง ที่เราจะตื่นจากหลับ เวลาฝัน เราไม่รู้หรอก ว่าเราฝัน เหมือนจริง ระหว่างที่ยังฝันอยู่ เหมือนจริงตลอด ตื่นเมื่อไหร่ จึงรู้ว่า นั่นฝัน!! อยู่ในโลกนี้อย่างฝัน เพราะไม่รู้ความจริง อยู่ไปก็เหมือนฝัน ทุกชาติ จนกว่าจะตื่นขึ้นรู้ความจริง และ ตื่นเองก็ไม่ได้!! ปัญญาไม่พอ เพราะว่า กิเลสมากมายมหาศาล ด้วยความไม่รู้ซึ่งสะสมมานานแสนนาน ต้องมีที่พึ่ง คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม และ พระอริยสงฆ์ ซึ่งเป็นผู้ที่ไม่ใช่พระภิกษุที่เราเห็น แต่ว่าต้องเป็นผู้ที่รู้แจ้งอริยสัจจธรรม จะเป็นภิกษุหรือจะเป็นคฤหัสถ์ก็ได้!!!

เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่ตรง จึงจะได้สาระจากพระธรรม ซึ่งความเข้าใจถูก ไม่สูญหายเลย ฟังวันนี้เข้าใจอย่างนี้ ต่อไป เข้าใจขึ้น รู้ความจริงขึ้น ชาติต่อไป แม้อยู่ไกลแสนไกล มีโอกาสได้ฟังพระธรรม แล้วก็ศึกษาและเข้าใจถูกได้ ไม่ได้หมายความว่า จะต้องเป็นผู้คนในประเทศนี้ ประเทศนั้น เท่านั้น แต่ แต่ละหนึ่ง เป็นหนึ่ง ซึ่งเกิดแล้วดับ แล้วไม่กลับมาอีก แต่ "หนึ่งขณะนี้ที่เข้าใจ" ก็สะสมสืบต่อ สำหรับขณะต่อไปที่จะเกิด เข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น!!!

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณดาวรุ่ง สกุลทองใบ และเพื่อน
และ อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ

... ... ...

ขอเชิญคลิกชมบันทึกการถ่ายทอดสดย้อนหลัง ได้ที่นี่ ...

และ ขอเชิญคลิกชมการสนทนาธรรมที่ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ เทศบาลนครนนทบุรี ครั้งก่อน ได้ที่นี่ ...

ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุเทศบาลนครนนทบุรี ๒๘ เมษายน ๒๕๕๙


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
kanchana.c
วันที่ 4 พ.ค. 2560

ขอบคุณและอนุโมทนาในกุศลวิริยะของน้องวันชัย แม้ไม่ได้ไปร่วมฟังการสนทนา แต่ได้อ่านแล้วก็เหมือนไปด้วยตนเอง อาจดีกว่าไปเองด้วย เพราะเก็บสาระสำคัญไม่ดีเท่าน้องวันชัย

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
Mayura
วันที่ 4 พ.ค. 2560

กราบขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ

พี่วันชัยเก็บรายละเอียดมาเล่าได้ดีมากๆ เลยค่ะ ถ่ายภาพสวยด้วยค่ะ น้องขออนุโมทนาทุกกระทู้เลยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 4 พ.ค. 2560

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 4 พ.ค. 2560

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณดาวรุ่ง สกุลทองใบ และเพื่อน
ขอบพระคุณและอนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่ง
และ อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
wirat.k
วันที่ 5 พ.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 5 พ.ค. 2560

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 5 พ.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
AmAm
วันที่ 7 พ.ค. 2560

ขอขอบพระคุณและอนุโมทนาในวิริยะอุตสาหะ ของคุณวันชัยเป็นอย่างยิ่ง เวลาฝัน เราไม่รู้หรอกว่าเราฝัน เมื่อตืนแล้วจึงจะรู้ ขอกราบเท้าท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขต

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ