ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณจักรกฤษณ์ คุณชฎาพร เจนเจษฎา ๒๗ ตุลาคม ๒๕๖๐

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  7 ธ.ค. 2560
หมายเลข  29349
อ่าน  2,573

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันศุกร์ ที่ ๒๗ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ได้รับเชิญจากคุณจักรกฤษณ์ คุณชฎาพร เจนเจษฎา เพื่อไปสนทนาธรรมที่บ้านพักย่านถนนประดิพัทธิ์ สะพานควาย กรุงเทพมหานคร ระหว่างเวลา ๑๐.๐๐ น. - ๑๕.๓๐ น.

ระยะนี้มีเหตุให้ได้ติดตามท่านอาจารย์ไปสนทนาธรรมในหลายๆ สถานที่โดยต่อเนื่องติดๆ กัน ทั้งที่ไปเพราะได้รับการเชิญจากท่านเจ้าภาพ และไปเพื่อทำหน้าที่อาสาสมัครของมูลนิธิฯ ด้วยจุดประสงค์หลักคือความตั้งใจที่จะเก็บบันทึกภาพการเดินทางไปเผยแพร่พระธรรมของท่านอาจารย์ไว้ และนำมาทำบันทึกไว้พร้อมกับข้อความการสนทนาบางตอน สำหรับผู้ที่สนใจในปัจจุบันและในอนาคต เท่าที่มีกำลังจะกระทำได้ แม้ว่าจะต้องอาศัยเวลาตามสมควร แต่ก็ทำให้เป็นผู้ที่เชี่ยวชาญขึ้น ในการจัดการกับเวลาและหน้าที่ส่วนตัว การดูแลบ้านช่องห้องหอ ทั้งต้นหมากรากไม้รอบบริเวณบ้าน และหน้าที่อื่นอีกเล็กๆ น้อยๆ ที่ยังคงต้องช่วยทำในกิจการส่วนตัวของครอบครัว ซึ่งโดยวัยที่มากขึ้นก็รู้สึกว่าการจะหยิบจับอะไรๆ ดูเหมือนจะเชื่องช้าไปเสียหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่คล่องแคล่วเหมือนแต่ก่อน ตอนที่ยังหนุ่มยังแน่นเลย (ฮาาาาา) พูดถึงตอนนี้ก็รู้สึกว่าอายท่านอาจารย์ ที่แม้ท่านจะมีอายุมากถึง ๙๐ กว่าปีแล้ว แต่ท่านยังคงคล่องแคล่ว สดใส กระฉับกระเฉง เป็นตัวอย่างที่ดียิ่ง ทำให้เตือนใจตนเองและมีกำลังใจในการทำกิจการงานต่างๆ ต่อไปด้วยใจที่แช่มชื่นมากขึ้น แม้ว่าจะมีความหดหู่ห่อเหี่ยวบ้างจากการถูกกิเลสทำร้ายในแต่ละวัน แต่เมื่อได้เห็นภาพท่านอาจารย์ ความแช่มชื่นในใจก็เกิดขึ้นได้ง่าย

อนึ่ง ในระยะหลังๆ มานี้ ทางมูลนิธิฯได้มีการเผยแพร่พระธรรมจากการสนทนาธรรมตามที่ต่างๆ ในหลายรูปแบบ ทั้งการเผยแพร่ทางการถ่ายทอดเสียงโดยแอพพลิเคชั่น Mixlr ทั้งการถ่ายทอดบันทึกวีดีโอทางเฟสบุ๊คของชมรมบ้านธัมมะ ทั้งคลิปการสนทนาธรรมที่มีการตัดต่อเป็นตอนๆ สำหรับข้อความที่กำลังเป็นที่สนใจในสังคมลงในยูทูป และอีกมากมายที่เผยแพร่ให้ท่านที่สนใจได้ชมได้ฟังด้วยความรวดเร็ว

รวมถึงการสนทนาพิเศษในเรื่องของพระธรรมวินัย ที่ทางมูลนิธิฯกำลังรณรงค์เผยแพร่ให้ความเข้าใจที่ถูกต้องแก่สาธารณชน เพื่อจะมีความเข้าใจถูกต้องในพระศาสนาคือคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า อันเป็นการปกป้องรักษาพระพุทธศาสนาไม่ให้เสื่อมสลายไปเพราะความไม่รู้และความเห็นผิดจากพระธรรมคำสอน ซึ่งกำลังเป็นปัญหาใหญ่อย่างยิ่งในปัจจุบัน ซึ่งคุณจักรกฤษณ์และคุณแอ๋ว (คุณชฎาพร) ท่านเจ้าบ้านในวันนี้ ก็เป็นหนึ่งในกำลังสำคัญของมูลนิธิฯ ที่ร่วมรับใช้พระศาสนาด้วยความรู้ทางกฏหมายและความเข้าใจธรรมะที่ได้ศึกษามา กราบอนุโมทนาในกุศลจิตของท่านทั้งสองมา ณ ที่นี้ด้วยครับ

แม้ว่าทุกท่านจะได้ชมและฟังการสนทนาธรรมที่ได้มีการเผยแพร่ในหลายๆ ทางดังได้กล่าวแล้ว แต่การได้มีโอกาส "อ่าน" ข้อความการสนทนาอีก อย่างซ้ำๆ ช้าๆ ทีละคำ ทีละประโยค ก็ยังคงเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ถึงความเข้าใจที่มีมั่นคงมากขึ้น จากการได้มีโอกาสอ่านข้อความซ้ำๆ ช้าๆ เป็นประโยชน์มากในการศึกษาพระธรรม จากเครื่องมือสื่อสารที่ทันสมัยคือโทรศัพท์มือถือที่ทุกๆ ท่านมี สามารถที่จะเข้ามาอ่านทบทวน ต่อเนื่องได้ ในเวลาที่ว่างจากภารกิจต่างๆ หรือในเวลาที่นั่งคอยกิจกรรมอะไรสักอย่างในชีวิตประจำวัน การได้กลับไปเลือกอ่านบันทึกการสนทนาธรรมตามที่บันทึกไว้ในแต่ละสถานที่ พร้อมกับชมภาพต่างๆ ก็เป็นอีกโอกาสหนึ่งของกุศลจิตที่สามารถจะเกิดขึ้นได้ โดยมีปัญญาความเข้าใจในพระธรรม ซึ่งเป็นยอดของกุศลธรรมทั้งมวล สะสมไปเป็นพืชเชื้อที่มั่นคงขึ้นในจิตใจ แทนที่จะสูญเสียเวลาไปโดยเปล่าจากสาระ ในแต่ละวัน

คุณจักรกฤษณ์ กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพครับ วันนี้ ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ ที่เมตตามาให้ความรู้ในทางธรรมอีกครั้งหนึ่งครับ ในการสนทนาวันนี้ ผมขออนุญาตเริ่มประเด็น แล้วก็ขอเรียนเชิญสมาชิกทุกท่าน ถ้ามีปัญหาใดก็สอบถามท่านอาจารย์และสนทนากันนะครับ ประเด็นที่จะกราบเรียนท่านอาจารย์คืออยากจะฟังความละเอียดลึกซึ้งของการฟังธรรม เพราะว่ามีหลายครั้งในการสนทนาที่ผ่านมา ก็มีผู้ที่สอบถามท่านอาจารย์ว่า การที่เราจะเห็นความจริงจริงๆ นั้น เพียงแค่ฟังเท่านั้นพอหรือไม่? มีคำถามนี้บ่อยครั้งมากๆ จากสมาชิกที่ฟังธรรมมาหลายปีก็มีคำถามที่ค้างคาใจว่า เราฟังอย่างเดียว หรือเราพิจารณาไปด้วย หรือว่ามีวิธีการ หรือมีอะไรที่จะประกอบกับการฟังด้วยได้หรือไม่? กราบเรียนท่านอาจารย์ครับ

ท่านอาจารย์ ก็เป็นสิ่งซึ่งยากที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่า เราไม่ได้ฟังใคร เหมือนเคย แต่ว่าฟังผู้ที่เราไม่เคยฟังมาก่อน คือผู้ที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีที่จะตรัสรู้ความจริง เพราะฉะนั้น ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นคำที่จริงถึงที่สุด!! เปลี่ยนแปลงไม่ได้!! ใครจะไปเปลี่ยนแปลงความจริงนั้นได้ แต่ว่า ความจริงที่ถึงที่สุด กำลังมีเดี๋ยวนี้!! แต่ไม่มีใครเคยได้ยินได้ฟังเลย แล้วก็บอกว่าคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายาก นั่นถูกต้อง!! ยิ่งเข้าใจยิ่งยาก!! เพราะเข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น จนกระทั่งจากการไม่รู้สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ค่อยๆ เข้าใจว่า เป็นสิ่งที่รู้ได้ แต่ไม่ใช่ด้วยการ "คิดเอง" หรือไปหาองค์ประกอบ ส่วนประกอบ จะต้องทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้ แล้วมารู้ แต่ต้องเป็น "แต่ละคำที่ได้ฟัง" มี "ความเข้าใจที่มั่นคง"

อย่างเช่นคำว่า "ธรรมะ" เพราะ ก่อนที่จะได้ยินคำว่า "ธรรมะ" มีแต่เรา มีแต่พี่น้อง มีแต่วงศาคณาญาติ มีเพื่อนฝูง มีครู มีนักเรียนต่างๆ เป็นบุคคล เป็นสัตว์ต่างๆ ทั้งนั้นเลย เป็นเรื่องราว ประเทศนั้นประเทศนี้ เรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่พอฟังธรรมะแล้ว กล่าวว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า "ทรงตรัสรู้ธรรมะ" หมายความว่าอย่างไร? แล้วผู้คน เรื่องราวต่างๆ หายไปหมด? ทำไมไม่บอกว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้คนนั้นคนนี้ ทำอย่างนั้นอย่างนี้ เมื่อนั่นเมื่อนี่ แต่กล่าวว่า "ตรัสรู้ธรรมะ"

เพราะฉะนั้น ก็ต้องรู้ว่า เป็นสิ่งซึ่งมีจริงตลอดเวลา แต่ว่าไม่ถูกเปิดเผยเลยว่าไม่ใช่เรา!! ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เคยเห็นเหมือนกับเที่ยง ยั่งยืน เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ บ้านเรือนต่างๆ แต่ว่า จริงๆ แล้ว ธรรมะต้องมี "ลักษณะ" ที่แสดงว่า "สิ่งนั้นมีจริง" เมื่อรู้ว่า "สิ่งนั้น" มีจริงแล้ว ความจริงก็คือว่า สิ่งนั้นเปลี่ยนไม่ได้ อย่าง "แข็ง" มีจริงๆ ความจริงของ "แข็ง" คือ ไม่ว่า "แข็ง" จะอยู่ตรงไหน ที่ไหน ก็เป็น "แข็ง" แล้ว "แข็ง" จะเป็น "เรา" ได้อย่างไร? หลงเข้าใจว่า "แข็ง" เป็นนั่นเป็นนี่มาตั้งนานในสังสารวัฏ แต่พอได้ฟังธรรมะก็เริ่มรู้ว่า ไม่มีสิ่งที่เราเคยจำไว้ เมื่อรวมกันเป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ แล้วเรียกชื่อให้ยิ่งจำได้มั่นคงขึ้น อย่างชื่อหนึ่ง ทำให้คิดถึงเรื่องเยอะ ไม่ว่าจะชื่ออะไรทั้งนั้น "ดอกดาวเรือง" แค่นี้ คำเดียว เรื่องเยอะไหม? นี่ชื่อดอกไม้นะ แล้วยังชื่อคนแต่ละคนที่เรารู้จัก

เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องของสิ่งที่มาจากสิ่งที่มีจริง แต่ไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้ว "สิ่งนั้น" มี "ชั่วขณะที่กำลังปรากฏ" ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อเข้าใจ และเพื่อรู้ว่า เราเคยไม่เข้าใจมากน้อยแค่ไหน ใครคิดว่าเราเคยเข้าใจมาเยอะ แล้วไม่เข้าใจนิดเดียว ผิด!! เพราะว่า เวลาฟังแล้วจะรู้ได้เลยว่า ที่เข้าใจว่าเข้าใจ ความจริงไม่ได้เข้าใจนานเท่าไหร่? และมากน้อยเท่าไหร่? เพราะฉะนั้น ก็ประมาทไม่ได้เลยว่าเข้าใจแล้ว เพียงแต่ว่า แต่ละคำ ต้องเข้าใจอย่างมั่นคงจริงๆ อย่าง "ธรรมะ" หมายความถึง "สิ่งที่มีจริง" วันนี้มีจริงทั้งนั้น แต่ไม่เคยคิดว่า "เป็นธรรมะ" ใช่ไหม? แต่สิ่งที่มีจริง เพราะไม่รู้ ก็เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ยังไม่ได้เกิดดับเลย เกิดก็ไม่รู้ ดับก็ไม่รู้ เหมือนมีอยู่ตลอดเวลา

เพราะฉะนั้น การตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำของพระองค์จะต้องต่างจากคำของคนอื่น เช่น เดี๋ยวนี้ สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏ สิ่งนั้นต้องเกิด แล้วก็มีปัจจัยที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดด้วย เกิดเองก็ไม่ได้ การแสดงเรื่องปัจจัยแต่ละหนึ่ง ที่ทำให้สภาพธรรมแต่ละหนึ่งเกิดขึ้น ก็ละเอียดยิ่งกว่าที่เรากำลังฟัง เพราะว่า เราเพียงแค่พูดถึง "หนึ่ง" แต่ยังไม่ได้พูดถึง "ปัจจัย" ที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น การฟังธรรมะก็ต้องค่อยๆ เข้าใจตามลำดับขั้น ว่าพูดถึงสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ทั้งหมด ซึ่งไม่เคยรู้เลย ถ้าไม่พูดก็ไม่รู้ใช่ไหม? สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ทั้งหมดอย่าง "เห็น" ถ้าไม่พูดก็ไม่รู้ ทั้งๆ ที่กำลังเห็น ว่า "เห็น" เกิดเห็นแล้วก็ดับ "ทุกคำ" จนกว่าจะเป็นอย่างนี้!!! ไม่ใช่เป็น "เราฟัง" แล้วเราก็อยากที่จะทำให้เกิดดับปรากฏ นั่นก็ผิดเลย!! ต้องรู้ว่าเป็นเรื่อง "ละ" ไม่ใช่เรื่องที่เราติดข้อง!!

ยาก ต้องยาก แล้วก็ต้องยิ่งยาก ถึงจะถูก ถ้ายากแล้วก็ง่ายขึ้น ง่ายขึ้น ง่ายขึ้นก็รู้เร็วสิ แต่นี่ยาก...แล้วก็ ยิ่งยาก....พราะรู้ว่าจะต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนานมาก กว่าจะเข้าใจแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มิฉะนั้น ผู้นั้นก็ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าพูดคำที่คนอื่นรู้แล้ว!! ต้องเป็น "คำที่คนอื่นไม่เคยฟังมาก่อน" อย่าง เห็นไม่ใช่เรา ,คิดไม่ใช่เรา ,จำไม่ใช่เรา ,ชอบไม่ใช่เรา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นไปในชีวิต ตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่ใช่เรา!! ภาษาบาลีใช้คำว่า "อนัตตา" แม้ได้ยินคำนี้ แต่ก็แค่พูด บางคนบอกว่าทุกอย่างเป็นอนัตตา พูดจบ "เห็น" เป็นอะไร? "ได้ยิน" เป็นอะไร? "จำ" เป็นอะไร? "คิด" เป็นอะไร? ความหมายของอนัตตาคือขณะนั้น สิ่งนั้นๆ ที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ เกิดแล้วก็ดับ สามารถรู้ความจริงอย่างนี้ แต่ไม่ใช่เราไปทำอะไร หรือพยายาม แต่ความเข้าใจค่อยๆ ละความไม่รู้ ว่าใครก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะว่าทุกอย่างเกิดตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยากโกรธทำไมโกรธ? ห้ามได้หรือ? ชอบไหม? ชอบโกรธไหม? ไม่สะใจหรือ?

ธรรมะเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก และลักษณะอาการก็ต่างๆ นานา สารพัดอย่าง แล้วก็ยากที่จะรู้ เพราะเหตุว่า เพียงเกิดขึ้นปรากฏแล้วไม่กลับมาอีกเลย ดับไปเลย เกิดแล้วดับไปเลย แล้วไม่กลับมาอีก แล้วจะไปรู้ความจริงของสิ่งที่ดับแล้วได้อย่างไร?

เพราะฉะนั้น สิ่งที่กำลังได้ฟังเดี๋ยวนี้ เป็นจริงเดี๋ยวนี้ กว่าจะรู้ก็คือว่า จะรู้ธรรมะไหนเราก็ไม่รู้ เพราะไม่รู้ว่าข้างหน้าอะไรจะเกิดขึ้น ใครรู้บ้างไหม? ว่าข้างหน้าจะเกิดอะไร? ใครรู้บ้าง? ใครรู้? มีใครรู้ไหม? ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่มีใครคิดว่าคุณธีรพันธ์จะมา (หัวเราะกันครืน) แล้วก็มีคุณธีรพันธ์เข้ามา แต่ก่อนนี้มหาภูตรูปนี้ยังไม่มี ยังไม่ได้ปรากฏเป็นสีสันวรรณะต่างๆ แต่พอปรากฏแข็ง แล้วก็มีสีสันวรรณะปรากฏที่แข็ง ความจำเกิดขึ้นทันที ไม่ต้องมีใครไปบอกให้จำ แต่เพราะเคยจำได้ เป็นปัจจัยให้ความจำนั้นเกิดระลึกขึ้นได้ว่า นี่ใคร แค่เห็นนี่ค่ะ เรื่องยาวของแต่ละหนึ่ง ซึ่งสิ่งนั้นดับแล้ว เพราะฉะนั้น ก็หลงคิดเหมือนนักแต่ง นักฝัน คิดไปต่างๆ นาๆ ไม่มีอะไรเลย!! ความคิดของคนที่คิดทุกเรื่องเดี๋ยวนี้ ก็เหมือนอย่างนั้น เพราะว่าคิดถึงเรื่องที่จริงๆ แล้วก็ไม่มี ถ้าไม่เกิดขึ้น!! ถ้าไม่เกิดขึ้น จะไม่มีเลย ไม่ว่าจะคิดเรื่องอะไรทั้งหมด ถ้าไม่เกิดขึ้น พรุ่งนี้คิดว่าจะไปไหน? แต่ถ้าไม่เกิดขึ้น ก็ไม่ได้ไป แค่คิด!! เพราะฉะนั้น จะไปหรือไม่ไป ใครจะรู้? ก็ต้องแล้วแต่เหตุปัจจัย!!

เพราะฉะนั้น ค่อยๆ ฟัง ทีละเล็ก ทีละน้อย ข้อความต่างๆ ก็ค่อยๆ สะสมความเข้าใจว่าไม่มีเราและไม่ใช่เรา!! ถ้าไม่มีเรา ดีไหม? มีสองอย่าง ถ้าเป็นปัญญา ดี ถ้าเป็นกิเลส ไม่ดี หายไปแล้วได้อย่างไร ที่เคยเป็นเรามาทั้งหมด อยู่ดีๆ ก็หายไปหมดเลย ไม่เหลือเลย นั่นคือ ยังติดข้อง ยังต้องการให้มีเรา แต่ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ ว่า ถ้าไม่มีเรา ก็คือว่า ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเลย เพราะว่า สิ่งที่เกิดนี้ เกิดแล้วดับทั้งนั้น แล้วไม่เหลือเลย ก็ไม่เกิดขึ้นมาเลยไม่ดีกว่าหรือ? กว่าจะถึงความเข้าใจละเอียดอย่างนี้ว่า การไม่เกิดเป็นสุข เพราะเหตุว่า ไม่ต้องเห็น ไม่ต้องได้ยิน ไม่ต้องคิด เพราะเห็นแล้วก็ต้องคิดต้องทำตั้งหลายอย่าง เหนื่อยไหม? หรือสนุกดี? ก็แล้วแต่อะไรจะเกิดขึ้น แต่ทั้งหมด แค่ชั่วขณะที่เกิดแล้วก็ดับ!!!

เพราะฉะนั้น ปัญญายังต้องพิจารณาไตร่ตรอง ทุกขอริยสัจ สภาพธรรมที่เป็นทุกข์จริงๆ ไม่ใช่เจ็บไข้ได้ป่วย หิว เดือดร้อน แต่ต้องเป็นสภาพธรรมที่เป็นทุกข์เพราะเกิดขึ้นแล้วตั้งอยู่ไม่ได้ เกิดขึ้นแล้วก็ดับหมดไป ยับยั้งให้อยู่สักนิดหนึ่งก็ไม่ได้ ไปทำให้เกิดขึ้นก็ไม่ได้ ไม่ได้สักอย่าง แต่มีปัจจัยที่จะเกิดขึ้นเป็นไป แล้วจะให้เป็นไปเรื่อยๆ อย่างนี้หรือ? ให้มีปัจจัยเกิดขึ้นเป็นไปในสังสารวัฏ ไม่หยุดเลย ไม่มีทางออกเลย ไม่มีทางจบเลย ถ้าไม่ได้ฟังและเข้าใจว่า จริงๆ แล้วถ้าไม่เห็น ไม่ได้ยิน สบายนะคะ จริงๆ ทุกคนอยากหลับ แปลว่าไม่อยากเห็น ไม่อยากได้ยิน ไม่อยากได้กลิ่น ไม่อยากคิด ไม่อยากจำ ไม่อยากอะไรทั้งหมดเลย อยากหลับ!! ก็แสดงอยู่แล้วใช่ไหม? ว่าชอบภาวะอย่างนั้น แต่ด้วยกิเลส ด้วยการไม่รู้ว่าจริงๆ แล้ว ขณะที่คิดนั้นก็เพราะไม่รู้ความจริง จึงปิดบังว่า แม้ขณะนั้นไม่รู้อะไรก็ยังมีความพอใจที่จะยังมีอยู่ ยังหลับแล้วก็ตื่น ไปเรื่อยๆ นิทราชาคริต หลับแล้วก็ตื่น หลับแล้วก็ตื่น หลับแล้วก็ตื่น ทุกวันใช่ไหม? พ้นได้ไหม? สักวันเดียว?

เพราะฉะนั้นก็ อะไรที่หลับ? อะไรที่ตื่น? อะไรที่เกิด? และอะไรที่หมดไปแล้วก็ไม่กลับมาอีก? ทุกคำ ไม่ใช่ว่าจะสามารถไปทำให้เกิดความเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ที่กำลังเป็นอย่างนี้ เดี๋ยวนี้ ทันที แต่ต้องเข้าใจขึ้น!! เพื่อที่จะละความไม่รู้!!

ได้ฟังคำของคุณสุธีรพันธ์ ที่สนทนากัน เตือนใจมาก เพราะก่อนฟังพระธรรม ไม่รู้!! แล้วก็เลยรู้ผิด!! เพราะไม่รู้ความจริงก็เข้าใจผิดไป แล้วเมื่อรู้ ได้ยินได้ฟังสิ่งที่ถูก ยังไม่ยอมรับ!! เพราะอะไร? เพราะไม่รู้!!! ระดับไหน? ไม่รู้จึงทำให้เข้าใจผิด!! หลงผิด!! ทำผิด!! คิดผิด!! เชื่อผิด!!!

พอได้ฟังสิ่งที่ถูก ก็ยังไม่ยอมรับรู้ว่าเป็นความจริง ก็เป็นคนที่เราเห็นอยู่ทั้งโลก!! ก็เป็นอย่างนี้!! เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่เป็นคนตรง ก็จะรู้ได้ว่า คนที่มีปัญญา เมื่อรู้ว่าไม่รู้ รู้ว่าไม่รู้จึงรู้!! ว่านั่นถูกต้อง!! และเมื่อรู้ว่าสิ่งใดถูก ก็ยอมรับสิ่งที่ถูก อย่างมั่นคง ไม่หันไปสู่ทางที่ผิด!!

ก็มีบุคคลสองประเภทนี้ ประเภทไม่รู้แล้วก็รู้ผิด แล้วก็ไม่ยอมรับรู้ กับ ประเภทที่ไม่รู้ แล้วก็รู้ แล้วก็รู้ถูก แล้วก็ยอมรับสิ่งที่ถูกต้อง!!!

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณจักรกฤษณ์ คุณชฎาพร เจนเจษฎา
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
thilda
วันที่ 9 ธ.ค. 2560

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
เมตตา
วันที่ 15 ธ.ค. 2560

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ

กราบอนุโมทนาในกุศลจิตของท่านเจ้าภาพ และผู้ร่วมสนทนาธรรมทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 16 ธ.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
chvj
วันที่ 1 ก.พ. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
anuraks168
วันที่ 9 ธ.ค. 2561

ขอกราบอนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Nataya
วันที่ 9 ธ.ค. 2561

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ