ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๓๒

 
khampan.a
วันที่  31 ธ.ค. 2560
หมายเลข  29389
อ่าน  2,612

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๓๒

~ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า น่าอัศจรรย์ จากความไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น ตั้งแต่เกิดจนตายทุกชาติ แต่สามารถที่จะมีความเห็น ความเข้าใจถูกต้องในทุกอย่างที่ปรากฏ จากกิเลสมากๆ จนกระทั่งค่อยๆ ละคลายดับไป จนกระทั่งไม่มีกิเลสเหลือเลย เพราะฉะนั้น น่าอัศจรรย์ยิ่งกว่าอย่างอื่น เพราะสามารถที่จะเปลี่ยนจากความไม่รู้ เป็นความค่อยๆ เข้าใจขึ้นจนดับกิเลสได้

~ กิเลส (เครื่องเศร้าหมองของจิต) อวิชชา (ความไม่รู้) ทั้งหลาย จะค่อยๆ ลดน้อยจนหมดได้ เพราะเข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้าไม่มีการศึกษา ไม่มีการเข้าใจคำสอนเลย อย่างไรๆ ก็จะต้องเป็นไปตามกิเลสไม่มีทางที่จะขัดเกลาจนกระทั่งหมดได้

~ ที่ทุกคนไม่ว่าจะเป็นคฤหัสถ์หรือบรรพชิตประพฤติผิด เพราะไม่เห็นโทษของกิเลส (เครื่องเศร้าหมองของจิต) และไม่เห็นโทษที่ว่าจากโลกนี้ไปแล้ว จะ (ไปเกิด) เป็นอะไร ที่ไหน

~ ความเห็นของชาวโลกผู้ไม่รู้ ย่อมต่างจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงตรัสรู้ เพราะว่า คนส่วนใหญ่หาเวลาดี สำหรับที่จะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ผู้ทรงตรัสรู้ ตรัสว่า การกระทำ ดี เมื่อไหร่ ก็เป็นเวลาดีเมื่อนั้น

~ ถ้าไม่มีจิต อะไรๆ ก็เกิดขึ้นไม่ได้ แม้แต่การกระทำหรือคำพูด ก็เกิดขึ้นไม่ได้เลย เพราะถ้าจิตดีขณะใด กายจะไม่ดี ก็ไม่ได้ วาจา จะไม่ดี ก็ไม่ได้

~ เห็นสิ่งที่น่าชอบใจ ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เหมือนได้สิ่งที่ดีทั้งวัน แต่ได้ขยะ (คือกิเลส) ได้ธุลี (คือกิเลส) ได้กิเลส มาสะสมไว้เท่าไหร่ ทั้งวันที่ตื่นกว่าจะถึงหลับ เพราะฉะนั้น แต่ละวันก็กอบโกยอกุศลหรือกิเลส มากทีเดียว โดยที่ว่า ถ้าไม่ได้มีการฟังพระธรรม ก็จะไม่รู้เลยว่า จิตของแต่ละคน สะสมอะไรไว้ ทุกวัน

~ พระพุทธศาสนาไม่ได้อยู่ที่การบวช แต่อยู่ที่การที่ให้ทุกคนได้เข้าใจพระธรรม

~ จิตของตนเองใครสามารถที่จะทำให้สิ่งที่ไม่ดี คือ อกุศลธรรมทั้งหลายที่สะสมอยู่ หมดสิ้นไปได้ ไม่มีทางที่คนอื่นจะบันดาลหรือทำให้ได้เลย นอกจากปัญญาความเห็นที่ถูกต้อง ที่จะค่อยๆ เข้าใจถูกว่าสิ่งใดเป็นโทษ สิ่งใดเป็นประโยชน์ ก็จะทำให้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์เพิ่มขึ้น

~ คนที่รู้คุณของความดี ที่จะไม่ทำความดี มีไหม เมื่อรู้ว่าเป็นประโยชน์

~ เป็นพุทธบริษัทก็จะต้องเป็นผู้ที่เข้าใจพระธรรมแล้วก็ช่วยกันอบรมจิตใจของตัวเองขัดเกลากิเลสให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องจึงจะไม่เป็นการทำลายพระศาสนา

~ เป็นคนดีก็ทดแทนบุญคุณพ่อแม่ได้ ช่วยพ่อแม่ทำทุกอย่างเพื่อพ่อแม่ เป็นคนดีไม่ให้พ่อแม่เดือดร้อนใจเป็นบุญหรือเปล่า แล้วทำไมต้องไปบวช เพราะฉะนั้นไม่ต้องอ้างกรณีใดใดทั้งสิ้นการบวชเพื่ออย่างเดียวคือศึกษาพระธรรมให้เข้าใจเป็นจุดประสงค์ที่สำคัญที่สุด ถ้าไม่ใช่เพื่อเหตุนี้ไม่ต้องบวช

~ ดียิ่งขึ้นทุกวันๆ ก็ได้ โดยไม่ต้องบวช เพราะว่าถ้าบวชแล้วทำกิจของคฤหัสถ์ไม่ได้

~ การบวชโดยมีความรู้ความเข้าใจอะไรเลยบุญหรือเปล่า

~ กุศล เหมือนเพื่อนที่จะอำนวยความสุขสะดวกสบาย ความสุข เกื้อกูลอุปการะให้คุณทุกประการ ​

~ ศัตรูของทุกท่านไม่ได้อยู่ข้างนอก แต่ว่าอยู่ภายในและใกล้ชิดที่สุด คือ ทุกขณะที่อกุศลธรรมเกิดขึ้น นั่น เป็นศัตรู ไม่ใช่มิตร

~ เวลาที่ได้รับผลของกุศล ขณะนั้นก็เป็นความสะดวกสบาย ความสุข ไม่มีความเดือดร้อนใจ พอที่จะรู้ว่ากุศล ย่อมจะมีลักษณะที่มีสุขวิบาก คือ ให้ผลเป็นสุข

~ ขณะใดที่กุศลจิตเกิด ขณะนั้นย่อมกำจัดอกุศล เช่นเวลาที่เกิดโกรธขึ้นมา เป็นอกุศล แต่พอเปลี่ยนจากโกรธเป็นความเมตตา เพราะระลึกได้ว่า ความโกรธเป็นอกุศล เป็นโทษ เป็นศัตรูผู้ทำร้ายจิต เป็นศัตรูที่ใกล้ชิดที่สุด คือ ไม่ใช่ศัตรูภายนอก แต่เป็นศัตรูภายใน และเมื่อรู้อย่างนี้ก็เกิดเมตตา แทนที่จะเกิดโทสะ ขณะนั้นก็กำจัดอกุศล เวลาที่กุศลเกิด เป็นไปในทาน ก็กำจัดอกุศล คือ ความตระหนี่ เวลาที่กุศลจิตเกิดเป็นศีล ขณะนั้นก็กำจัดอกุศล คือ การเบียดเบียนประทุษร้าย เพราะฉะนั้น ธรรมที่เป็นกุศล มีกิจที่กำจัดอกุศล ​

~ เมตตาเมื่อเกิดขึ้น ไม่ได้ทำให้เกิดความเดือดร้อนเลย แต่ตรงกันข้ามทำให้เกิดความสบายใจ เพราะไม่ดูหมิ่น ไม่รังเกียจคนอื่น มีความเป็นเพื่อน มีความเป็นมิตร พร้อมที่จะอุปการะ เกื้อกูลอย่างจริงใจ

~ ถ้าเห็นใครที่พรั่งพร้อมสมบูรณ์ เพียบพร้อมทุกอย่าง ทุกคนก็มักจะเอ่ยว่า เป็นผลของกุศล

~ ​เป็นความจริงที่ว่า อกุศลเกิดง่าย เกิดเร็ว เกิดมาก แต่กุศลนี้เกิดยากและเกิดน้อย แสดงให้เห็นว่า สภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา แม้อกุศลซึ่งเกิดง่าย เกิดเร็ว เกิดมาก ก็เป็นเพราะเหตุว่า มีปัจจัยที่จะให้อกุศลเกิดมาก เกิดง่าย เกิดเร็ว หรือ กุศลที่จะเกิดก็เป็นอนัตตา ถ้าไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัยแล้ว กุศลก็เกิดไม่ได้ ​

~ ในชีวิตประจำวัน ก็ต้องเริ่มจากการพิจารณาจริงๆ ว่า กุศลและอกุศล สิ่งใดเป็นสิ่งที่ควรเจริญให้มากขึ้น แม้ว่าอาจจะยังไม่มีมาก หรือว่าอาจจะยังทำไม่ได้ทันที แต่เพียงน้อมพิจารณาที่จะมีเหตุผลถูกต้องตามความเป็นจริงว่า กุศลเป็นสิ่งที่ควรเจริญ เป็นสิ่งที่ควรจะอบรมประพฤติให้มากขึ้น นี่ก็เป็นปัจจัยหนึ่งซึ่งจะทำให้กุศลจิตเกิดได้ คือ เป็นผู้ที่นิยมและเห็นว่า กุศลเป็นสิ่งที่ควรเจริญ

​ ~ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเรื่องเหตุของทุกข์เนืองๆ บ่อยๆ เพื่อจะให้เข้าใจชัดว่า ทุกข์ทั้งหลายย่อมมาจากมูลรากสำคัญ คือ “ตัณหา” ซึ่งเป็นความยินดีพอใจในสิ่งที่ปรากฏ

~ ตัณหาซึ่งฝังรากลึกอยู่ในจิตใจ ก็ต้องอาศัยการอบรมเจริญปัญญา ที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงเท่านั้น จึงจะทำลายตัณหาออกได้

~ ในวันหนึ่งๆ ทุกท่านหมกมุ่นด้วยโลภะ โลภะกลืนเอาไปหมดในวันหนึ่งๆ กลืนเอาไปเสียเสร็จสิ้น ท่านที่ชอบการละเล่นชนิดหนึ่งชนิดใด เวลาของท่านในวันนั้นไม่ค่อยที่จะได้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์เท่าไร เพราะชื่อว่า ความหมกมุ่นด้วยอำนาจที่กลืนเอาไปเสียเสร็จสิ้น ในวันหนึ่งๆ เวลาส่วนมากที่ใช้ไปก็ใช้ไปด้วยโลภะ

~
ตราบใดที่ยังมีโลภะอยู่ ไม่มีวันที่จะพ้นไปจากสังสารวัฏฏ์ได้ จะต้องมีการตายแล้วเกิดอีก ตายแล้วเกิดอีก อย่างนี้อยู่เรื่อยๆ

~ อย่าลืมว่า ไม่เคยอยู่คนเดียว เพราะว่ามีเพื่อนอีกคนหนึ่ง ซึ่งอยู่ด้วยใกล้ชิดที่สุด ไม่ห่างเลย คือ โลภะ ไม่เคยจากไปไกลเลย อยู่ใกล้เคียงตลอดเวลาในสังสารวัฏฏ์ ​

~ ความเห็นผิดน่ากลัวและเป็นอันตรายอย่างยิ่ง และก้าวล่วงได้ยาก ถ้าเกิดยึดถือในความเห็นผิดนั้นแล้ว ที่จะปล่อยจากความเห็นผิดนั้น ยาก เพราะว่าความเห็นผิดเกิดขึ้นขณะใด ในขณะนั้นจะเห็นถูกไม่ได้ แต่ขณะใดที่ความเห็นถูกเกิดขึ้น ขณะนั้นจะรู้ว่า ความเห็นอย่างไรผิด และความเห็นอย่างไร ถูก แต่ขณะใดก็ตาม ซึ่งความเห็นผิดกำลังเกิดขึ้น ขณะนั้นไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่า เป็นความเห็นผิด

~ กุศลมีลักษณะที่สงบจากอกุศล ปราศจากโลภะ โทสะ โมหะ ขณะที่อยากจะนั่งสมาธิ ขณะที่อยากจะทำสมาธิ ขณะนั้นสงบหรือไม่สงบ เป็นกุศลหรืออกุศล?


~ สิ่งที่เป็นประโยชน์ คือ เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังมีในขณะนี้ ก่อนที่จะละจากโลกนี้ไป

~ ถ้าได้ฟังพระธรรม แล้วก็มีโอกาสที่จะเข้าใจขึ้น นั่นก็แสดงว่ามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เพราะรู้คุณจริงๆ ว่านอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ไม่มีใครเป็นที่พึ่ง

~ สิ่งที่มีจริงพระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้โดยละเอียดอย่างยิ่ง โดยประการทั้งปวง ไม่เหลืออะไรไว้ให้ใครต้องไปหาทางคิดเองอีก

~ ใครยังมีความเห็นผิดอยู่ ใครยังประพฤติปฏิบัติผิดอยู่ และใครยังมีความยึดมั่นในข้อประพฤติปฏิบัติผิดอยู่ นั่นก็เป็นอาการที่ปรากฏของมิจฉาทิฏฐิ (ความเห็นผิด)

~ ถ้ามีคนชั่วหรือคนที่เห็นผิดเป็นมิตร ย่อมคล้อยตามความเห็นนั้นๆ ได้ เพราะถ้ามีเพื่อนที่เห็นผิด ก็จะชักชวนให้ฟังในเรื่องที่ผิด แล้วก็ชักชวนไปสู่สถานที่ซึ่งมีการเห็นผิด การปฏิบัติผิด บางท่านแล้วแต่เพื่อนฝูงจะไป แม้แต่ในที่ๆ มีความเห็นผิด เหมือนกับเป็นผู้ที่ติดในหมู่คณะและในสำนัก

~ ขณะที่เข้าใจธรรม ก็ต้องมาจากการฟัง ถ้าไม่มีการฟัง จะเข้าใจธรรมได้อย่างไร

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๓๑

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
swanjariya
วันที่ 31 ธ.ค. 2560

กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่งและกราบเท้าอนุโมทนาขอบพระคุณด้วยความสำนึกในพระคุณและความเมตตาของท่านในการถ่ายทอดพระธรรมของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ผู้ฟังมีโอกาสศึกษาและเข้าใจตามกำลังของแต่ละคน

กราบอนุโมทนาขอบพระคุณท่านอาจารย์วิทยากรและเจ้าหน้าที่รวมทั้งอาสาสมัครของมูลนิธิที่เสียสละทุกประการเพื่อให้ผู้ฟังมีโอกาสเข้าใจพระธรรม

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
papon
วันที่ 31 ธ.ค. 2560

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
siraya
วันที่ 31 ธ.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
thilda
วันที่ 31 ธ.ค. 2560

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
peem
วันที่ 31 ธ.ค. 2560

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
meenalovechoompoo
วันที่ 31 ธ.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
jirat wen
วันที่ 31 ธ.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
j.jim
วันที่ 31 ธ.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
มกร
วันที่ 31 ธ.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
สิริพรรณ
วันที่ 31 ธ.ค. 2560

กราบนอบน้อมพระรัตนตรัยด้วยเศียรเกล้า

กราบแทบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง

อนุโมทนาขอบพระคุณกุศลจิตทุกท่าน

ชาตินี้ได้พบผู้เป็นบัณฑิต เป็นกัลยาณมิตรเกื้อกูลการศึกษาพระธรรม ด้วยการถ่ายทอดพระธรรมได้ตรงตามคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นบุญที่สูงสุด ยิ่งแล้ว จึงขอบูชาพระรัตนตรัย สำนึกระลึกพระคุณนั้น ด้วยการศึกษาพระธรรมด้วยความเคารพ อดทน และไม่ประมาท

กราบขอบพระคุณยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
panasda
วันที่ 1 ม.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
rrebs10576
วันที่ 2 ม.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
kukeart
วันที่ 2 ม.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
Dechachot
วันที่ 2 ม.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
kullawat
วันที่ 3 ม.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
jaturong
วันที่ 3 ม.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
s_sophon
วันที่ 3 ม.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 4 ม.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
worrasak
วันที่ 4 ม.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 20  
 
p.methanawingmai
วันที่ 10 ม.ค. 2561

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 21  
 
chatchai.k
วันที่ 7 พ.ย. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 22  
 
มังกรทอง
วันที่ 27 ธ.ค. 2564

กิเลส (เครื่องเศร้าหมองของจิต) อวิชชา (ความไม่รู้) ทั้งหลาย จะค่อยๆ ลดน้อยจนหมดได้ เพราะเข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้าไม่มีการศึกษา ไม่มีการเข้าใจคำสอนเลย อย่างไรๆ ก็จะต้องเป็นไปตามกิเลสไม่มีทางที่จะขัดเกลาจนกระทั่งหมดได้

น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ