ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๔๓

 
khampan.a
วันที่  18 มี.ค. 2561
หมายเลข  29582
อ่าน  1,917

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๔๓

~ การเป็นบุคคลหนึ่งๆ ในชั่วชีวิตหนึ่งๆ ขอให้ทราบตามความเป็นจริงว่า เป็นเพียงชั่วขณะจิตเดียวเท่านั้นจริงๆ แล้วการเป็นบุคคลนี้ในชาตินี้ แต่ละขณะที่ผ่านไป ก็จะทำให้ถึงความสิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ในชาตินี้ แล้วก็จะไปสู่ความเป็นบุคคลอื่นในชาติต่อไป

~ แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นในโลก แต่ถ้าไม่รู้จักพระองค์ ไม่เข้าใจธรรมแล้วจะเป็นที่พึ่งได้อย่างไร ทั้งหมดต้องเป็นความเข้าใจนั่นแหละที่จะเป็นที่พึ่งได้ เพราะเข้าใจถูกต้อง ถ้าเข้าใจผิด ก็เป็นที่พึ่งไม่ได้

~ ความไม่รู้ ไม่มีทางที่ทางที่จะรู้ได้ ถ้าไม่มีการได้ยินได้ฟังคำที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น จากการไม่รู้สู่ความรู้ ว่า อะไรที่เป็นภัย เป็นคลื่นใหญ่ ก็คือ อวิชชา (ความไม่รู้)

~ ความตาย ก็ขัดขวาง สิ่งที่กำลังจะเป็นประโยชน์ ก็ไม่เกิดประโยชน์ เพราะแทนที่จะได้ฟังธรรม ก็ไม่ได้ฟังธรรม เพราะมัจจุมาร (ความตาย) ทำลายประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจากการที่จะมีชีวิตต่อไป

~ ส่วนใหญ่ คนที่มีกิเลส ก็ชอบกิเลส ไม่เห็นว่ากิเลสเป็นมาร แต่ผู้มีปัญญาเห็นว่ากิเลส เป็นมาร (ขัดขวางคุณความดี ไม่ให้ความดีเกิดขึ้น)

~ มารตัวร้ายที่ทำลายความสงบ ทำลายความดีทุกอย่าง คือ กิเลสมาร

~ ค่อยๆ สะสมความเข้าใจทีละน้อย ไปเรื่อยๆ โดยการเห็นประโยชน์จริงๆ ว่า แม้น้ำหยดเดียว (ทีละหยดๆ ) ก็สามารถที่จะถึงความเป็นมหาสมุทรได้ เพราะฉะนั้น หยดน้ำของปัญญา ก็สามารถที่จะดับอกุศลทั้งหมดได้ ไม่เหลือเลย

~ ปัญญาเจริญช้ามาก เหมือนการจับด้ามมีด เพราะอะไร เพราะกำลังฟังก็เข้าใจคำที่กำลังฟัง พอฟังจบแล้ว ก็กิเลสเลย ยับยั้งไม่ได้ หยุดไม่ได้ มีปัจจัยที่จะเกิด เพราะฉะนั้น ปัจจัยของความเข้าใจ (คือ การได้ฟังพระธรรม) ถ้าหยุด ก็ไม่เติม ไม่เจริญ แค่ไหนก็แค่นั้น นับวันก็จะถูกปกปิดด้วยความไม่รู้ ความยินดีเพลิดเพลิน ซึ่งเป็นกิเลสต่อไป

~ การฟังธรรม ต้องรู้ว่า เป็นการฟังเพื่อเข้าใจ เพื่อความไม่รู้จะได้ลดน้อยลง นั่นคือ ความหมายของคำว่า ขัดเกลา กว่าจะหมด เพราะมากมายเหลือเกิน เพราะฉะนั้น ทุกคำที่เข้าใจ กำลังทำงานละความไม่รู้

~ โลกไม่สงบ เดือดร้อนวุ่นวายทั้งหมด เพราะกิเลส ไม่มีทางที่จะหมดได้เลย ถ้าตราบใดที่ยังไม่รู้ความจริง คือ ธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว จะระงับความไม่สงบสุขทั้งหลายได้ ก็ด้วยความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ได้ฟังอย่างนี้แล้วยังจะเฉยเมยไหม ทั้งๆ รู้ว่า นี้แหละเป็นสิ่งเดียวที่สามารถที่จะนำความสงบสุขมาให้ จากการที่เริ่มเข้าใจถูกต้อง คือ ปัญญา ปัญญา เห็นถูกเข้าใจถูก ต้องนำไปสู่สิ่งที่ถูกต้องที่เป็นคุณความดีทั้งหมดได้

~ คฤหัสถ์เองก็กำลังทำลายพระพุทธศาสนา โดยการที่ไม่เข้าใจธรรมและส่งเสริมความประพฤติที่ผิด

~ กล้า อาจหาญ ร่าเริงที่จะเป็นมิตรที่ดี ให้ความเข้าใจถูกต้องตามพระธรรมวินัย

~ ถ้าเป็นความหวังดีจริงๆ ลองคิดดู กล้าที่จะเป็นมิตรที่ดีไหม นั่นต้องเป็นกุศลที่มีกำลังจริงๆ ที่ไม่หวั่นไหวต่อการที่ใครจะคิดอย่างไร ใครจะว่า ใครจะติ ใครจะเข้าใจอย่างไร แต่ความหวังดีก็ยังคงเป็นความหวังดี

~ พุทธศาสนิกชน เข้าใจพระธรรมวินัย พระภิกษุก็เข้าใจพระธรรมวินัย ประพฤติปฏิบัติขัดเกลากิเลส ตามเพศของตน พระพุทธศาสนา จักงามรุ่งเรืองสักแค่ไหน แต่ความจริง ในยุคนี้ตรงกันข้ามกัน ก็เป็นยุคที่เสื่อม

~ ไม่หวั่นไหวเลยที่จะทำสิ่งที่ถูกต้อง

~ กุศลธรรมก็เป็นกุศลธรรม อกุศลธรรมก็เป็นอกุศลธรรม เมื่อทำสิ่งที่ดีแล้ว ผลที่ดีก็ต้องมีในภพชาติต่อไป แต่ถ้าทำสิ่งที่ไม่ดีแล้ว ภพชาติต่อไปจะเป็นอย่างไร ทำไมไม่คิดถึง

~ ถ้าเข้าใจธรรม มากขึ้น ไม่มีอะไรที่ชีวิตควรจะเป็นไป นอกจากเข้าใจพระธรรมวินัยยิ่งขึ้น รับใช้พระพุทธศาสนา ทะนุบำรุงพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นการทะนุบำรุงที่ยิ่ง เหนือกว่าสิ่งใดทั้งสิ้น

~ คนที่ไม่กล้าที่จะทำความดี ไม่กล้าที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้อง ก็ตามการสะสม เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องของแต่ละคน แต่ตัวเองกล้าไหม (ที่จะทำความดี ที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้อง) ไม่ต้องคิดถึงคนอื่น

~ ชีวิตจะอยู่อีกกี่วินาที แล้วไม่ทำสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต แล้วจะเป็นประโยชน์ไหมต่อการได้ยินได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ ถ้าทำสิ่งที่ถูกต้องและมีความหวังดี กล่าวคำที่พระสัมมาสัมพระเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว กลัวอะไร ไม่มีอะไรที่จะน่ากลัว เพราะกุศลทั้งหลาย นำมาซึ่งสิ่งที่เป็นประโยชน์

~ ถ้าไม่เข้าใจธรรม นี่ก็ประมาทแน่ แม้แต่เข้าใจธรรม ก็ยังประมาทอยู่ ใครไม่ประมาทบ้าง ขณะใดที่เป็นอกุศล ก็ประมาทแล้ว

~ คนที่มีเงินทองมาก มีสิ่งของมาก แต่ไม่ให้ใครเลย พอตายแล้วให้ได้ไหม? เพราะฉะนั้น ก่อนตายประมาทไหมเวลาที่ไม่ให้สิ่งที่ควรจะเป็นประโยชน์แก่คนอื่นที่ตนเองสามารถที่จะสละให้ได้

~ ความไม่ประมาทต้องลึกซึ้ง ไม่ใช่ว่าใครจะทำอะไรได้ แต่สิ่งที่ควรอย่างยิ่ง ก็คือ เข้าใจธรรมแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้มั่นคงขึ้น เพราะเหตุว่าถ้าไม่เข้าใจ ก็จะสับสน

~ ความเข้าใจเท่านั้นแหละ ที่จะค่อยๆ ขัดเกลาละคลายความไม่รู้

~ ตั้งแต่เกิดจนตายทุกชาติ ถ้าไม่มีคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครจะรู้ได้ แม้มีสิ่งที่กำลังปรากฏเผชิญเฉพาะหน้า ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ แต่ว่าเมื่อมีคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำนั้นต้องต่างจากคำอื่น เพราะฉะนั้น แต่ละคำที่ได้ฟังเพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะไม่ว่าจะโดยความดีประการใดก็ตามแต่ ก็ไม่สามารถที่จะทำให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่ปรากฏได้ ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ อกุศลทั้งหมด มาจากความไม่เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง

~ ตราบใดที่ยังไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ ก็ยังประมาทอยู่

~ ขณะนี้ ถ้ากำลังเข้าใจสภาพธรรมที่ปรากฏ โดยไม่เลือก โดยความเป็นอนัตตา โดยมีปัจจัยเกิดขึ้น ขณะนั้นปัญญาปฏิบัติหน้าที่ของปัญญา ไม่มีใครไปทำอะไรได้เลย

~ คนที่ไม่ได้สละเพศคฤหัสถ์ แต่เข้าใจธรรม ก็ขัดเกลากิเลสโดยการเข้าใจธรรม (โดยไม่ต้องบวช)

~ ผู้ฟังทุกท่านเข้าใจหรือยังว่า พระภิกษุคือใคร ถ้าสนับสนุน (ภิกษุทุศีล) ก็เท่ากับว่าให้เขาเป็นบาปยิ่งขึ้น เพราะจากโลกนี้ไปแล้ว (ภิกษุทุศีล) ไม่ได้ไปที่อื่น นอกจากอบายภูมิ

~ ใครก็ตามที่ไม่ได้เข้าใจธรรม แล้วก็บวช แล้วก็ไม่ได้ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ก็เหมือนโจรที่อาศัยการบวชเป็นที่กำบังกระทำทุจริต แม้เพียงการรับอาหารบิณฑบาต ก็ไม่ใช่สำหรับผู้ที่ไม่ได้เข้าใจธรรมวินัยและไม่ได้ประพฤติตามพระธรรมวินัยด้วย ด้วยเหตุนี้ ใครก็ตามที่ไม่ได้เข้าใจธรรม ไม่ได้ศึกษาธรรม ไม่ได้อบรมเจริญปัญญา ไม่ได้ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย รับบาตร เหมือนโจรไหม เพราะ (บุคคลผู้ให้) เขาไม่ได้ให้แก่บุคคลประเภทนี้ แต่เขาให้กับภิกษุผู้ที่เข้าใจพระธรรมวินัย รู้อัธยาศัยของตนเองที่สามารถจะขัดเกลากิเลสด้วยความเคารพอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้น เป็นโจรทั้งหมด ถ้า (ภิกษุ) ไม่มีความเข้าใจธรรม ไม่อบรมเจริญปัญญา ไม่ได้ขัดเกลากิเลสตามพระธรรมวินัย

~ คนที่บวชเป็นภิกษุ แต่ว่าไม่ได้เข้าใจธรรมเลย แล้วไม่ขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิตตามพระธรรมวินัย ก็ไม่ใช่ภิกษุในธรรมวินัย

~ ความเป็นภิกษุ ไม่ใช่อยู่ที่ผ้าที่ครองเท่านั้นที่แสดงว่าเป็นภิกษุ แต่ต้องเป็นความประพฤติ ความเป็นอยู่ และความเข้าใจธรรม ซึ่งเป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลส

~ ผู้ที่บวชเป็นภิกษุ แต่งกายเหมือนภิกษุตามพระธรรมวินัย มีความเข้าใจธรรมหรือเปล่า? ถ้าไม่มีความเข้าใจธรรมแล้วเป็นภิกษุได้อย่างไร มีแต่ความพอใจ ความต้องการหรืออยากที่จะเป็น

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๔๒

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
ปาริชาตะ
วันที่ 18 มี.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
เจียมจิต
วันที่ 18 มี.ค. 2561

กราบขอบคุณอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
panasda
วันที่ 18 มี.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
thilda
วันที่ 18 มี.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
peem
วันที่ 18 มี.ค. 2561

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Nataya
วันที่ 18 มี.ค. 2561

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
siraya
วันที่ 19 มี.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
mammam929
วันที่ 19 มี.ค. 2561

ขอถึงพระธรรมเป็นที่พึ่งที่ระลึกและกราบอนุโมทนาค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
jaturong
วันที่ 19 มี.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 19 มี.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
j.jim
วันที่ 19 มี.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
เมตตา
วันที่ 20 มี.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนากุศลจิตของ อ.คำปั่น ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
Nataya
วันที่ 18 มิ.ย. 2561

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
chatchai.k
วันที่ 10 เม.ย. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ