กล่าวตามพระธรรมวินัยเพื่อให้ผู้อื่นได้เข้าใจถูก

 
khampan.a
วันที่  15 มิ.ย. 2561
หมายเลข  29819
อ่าน  2,010

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ประมวลสาระสำคัญจากการสนทนาธรรม
ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร
วันศุกร์ที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๖๑


~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นที่เคารพสูงสุดของทุกคน

~ ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จะพูดคำที่ไม่รู้จักเลย ตลอดชีวิต ตั้งแต่เกิดจนตายทุกคำ

~ ได้เข้าใจแม้แต่แต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็จะเข้าใจถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากความเข้าใจที่เกิดจากการได้ฟังพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง

~ พระธรรม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ตลอด ๔๕ พรรษา ทุกคำ ต้องศึกษาด้วยความเคารพ ด้วยความละเอียด ด้วยความลึกซึ้งอย่างยิ่ง เมื่อเข้าใจ ก็จะรู้พระคุณที่พระองค์ทรงมีพระมหากรุณา ตรัสคำเหล่านั้น เพื่อที่จะให้ผู้มีโอกาสได้ฟัง ได้เข้าใจ ซึ่งแต่ละคำจะประมาทไม่ได้เลย

~ ธรรม คือสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้แน่นอน และขณะนี้ก็กำลังมีด้วย

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมอบมรดก คือ คำที่พระองค์ตรัสไว้ดีแล้ว เป็นศาสดาแทนพระองค์เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเคารพสูงสุด ก็ต้องศึกษาธรรมทีละคำ

~ ภิกษุ ต่างจากคฤหัสถ์ เพราะเป็นผู้ที่ละอายในอกุศล (ยิ่งกว่าคฤหัสถ์)

~ ปัญญา (ความเข้าใจถูกเห็นถูก) เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ซึ่งก่อนฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใคร ก็มีไม่ได้, น่าอัศจรรย์ เพียงแค่คำของผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ สามารถทำให้ความไม่รู้ซึ่งมีมาเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์ ค่อยๆ ลดน้อยลงไปจนสามารถที่จะดับกิเลส (เครื่องเศร้าหมองของจิต) ได้

~ ชีวิตของพระภิกษุตามพระธรรมวินัย สมควรอย่างยิ่งที่คฤหัสถ์จะกราบไหว้

~ พระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเห็นโทษของกิเลสแม้เพียงเล็กน้อยละเอียดยิ่ง ซึ่งเป็นกิเลสที่จะนำมาซึ่งกิเลสใหญ่ จึงได้ทรงบัญญัติพระวินัยไว้ทุกประการสำหรับผู้ที่เป็นภิกษุคือ ศากยบุตร เป็นบุตรที่เกิดจากพระปัญญาของพระองค์ที่ทรงบัญญัติสิกขาบท (สิ่งที่จะต้องศึกษาและน้อมประพฤติตาม) น้อยใหญ่ ขัดเกลา ทั้งกาย วาจา ใจ จนกระทั่งหมดกิเลส

~ คฤหัสถ์ร้องเพลงได้ แต่พระภิกษุทำไม่ได้ ก็ละอายมิใช่หรือในการที่จะมีชีวิตครองเรือนอย่างคฤหัสถ์ เห็นโทษแม้เพียงเล็กน้อยว่าเป็นโทษที่ใหญ่ ที่สมควรที่จะค่อยๆ ขัดเกลาด้วยสิกขาบททั้งหลาย จนสามารถที่จะดับกิเลสได้

~ ถ้าไม่ฟังพระธรรม ละอายไหมที่จะไม่รู้ต่อไป ทั้งๆ ที่ยังมีคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งได้ฟังเมื่อไหร่ ก็จะมีปัญญาความเข้าใจสิ่งที่มีในชีวิตทุกขณะตามที่พระองค์ได้ทรงแสดงไว้

~ ผู้ละอาย คือ ผู้ที่รู้ว่า ถ้าตราบใดที่ไม่ได้ฟังคำที่จะทำให้เกิดความเข้าใจ ก็จะไม่รู้อย่างนี้ อีกกี่ภพกี่ชาติ ก็จะเป็นอย่างนี้แหละ ละอายหรือยัง? เพราะเหตุว่ามีคำที่จะทำให้เข้าใจได้ ถ้าจะเห็นประโยชน์ของการที่เกิดมาแล้วสามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่มีตามความเป็นจริงได้ ขณะนั้นก็เริ่มเป็นผู้ละอายต่อความไม่รู้

~ อกุศล สิ่งที่ไม่ดีทั้งหมด เป็นสิ่งที่ควรละอาย

~ จะจากโลกนี้ไปโดยที่ไม่เข้าใจเหมือนเดิม หรือว่า อย่างน้อยก็เข้าใจพระธรรมตามสมควร แต่ถ้าเป็นผู้ที่เห็นประโยชน์มาก ก็ไม่เคยละเว้นการฟังพระธรรม

~ ถ้าจากโลกนี้ไป ทุกอย่างในโลกนี้หมดสิ้นความสำคัญ เพราะว่า ไม่ปรากฏอีก แต่ว่าปัญญาความเข้าใจถูก ก็จะสะสมต่อไป

~ ผู้ที่ได้ฟังพระธรรมและเห็นคุณจริงๆ จะไม่ละเลยการที่จะไตร่ตรองและดำรงสิ่งที่มีค่าที่สุดเพราะว่าใครก็ตาม ถ้ามีความเห็นที่ถูกต้อง หวังที่จะให้คนอื่นเข้าใจด้วยไหม เราเป็นมิตรที่ดีเป็นเพื่อนที่ดีให้สิ่งที่ดีแก่กันมาก็มาก แล้ว แต่ว่าให้สิ่งที่ที่สุดยิ่งกว่านั้นก็คือให้สิ่งซึ่งใครๆ ก็ให้ไม่ได้นอกจากพระสัมมาสัมสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ธรรมของพระองค์แต่ละคำ จะรับหรือไม่รับ ใครก็บังคับบัญชาไม่ได้ เพราะเป็นอนัตตา (ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น)

~ ไม่สามารถบังคับบัญชาคนอื่นได้ แต่หวังดีได้ เมื่อหวังดีแล้วก็ให้สิ่งที่ดีที่สุด ก็คือ ให้เขาได้มีความเข้าใจสิ่งที่ถูกต้อง ถ้าเป็นอย่างนี้ ประเทศไทยจะมีแต่ความถูกต้องไหม โลกจะมีแต่ความถูกต้องไหม แต่ถ้าไม่รู้แล้วจะแก้ปัญหาซึ่งเกิดจากความไม่รู้ จะสำเร็จได้อย่างไร เพราะความไม่รู้ก็นำมาซึ่งความไม่รู้และปัญหาต่อๆ ไป เพราะฉะนั้น ผู้ที่รู้หนทางแก้ไข ก็คือ ผู้ที่เข้าใจธรรม

~ ผู้หวังดี ก็จะมีคำที่เป็นประโยชน์ ซึ่งเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่คำของใครทั้งสิ้น ใครก็จะพูดเหมือนอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้เลย และคำของพระองค์จะทำให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้น เมื่อใครก็ตาม ศึกษาพระธรรมแล้ว เห็นประโยชน์ ก็รู้ว่าควรที่จะให้คนอื่นได้เข้าใจด้วย ดีไหม หรือว่า ไม่ต้องพูดอะไรเลย ผิดก็ปล่อยให้ผิดไป ไม่แก้ไข?

~ ไม่มีใครอยากเลว ไม่มีใครอยากชั่ว ไม่มีใครอยากโกง ถ้าไม่มีความละอาย จึงทำได้ แต่คนที่ไม่ทำ ก็เพราะมีความละอาย

~ ภิกษุ คือ ผู้มีความละอายต่อความไม่ดีทั้งหมด เพื่อที่จะละขัดเกลากิเลส ซึ่งจะต้องประพฤติตามสิกขาบทที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ เพื่อขัดเกลากิเลสตั้งแต่ตื่นจนกระทั่งหลับ

~ ถ้าภิกษุไม่มีความละอาย ก็ไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัย เพราะแม้แต่คำพูดที่ไม่สมควรแก่พระภิกษุ รู้สึกไหมว่านั่นเป็นกิเลส ละอายหรือเปล่า ถ้าไม่ละอาย ก็ไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัย

~ ปัญญา เห็นว่า อะไรถูก อะไรผิด อะไรดี อะไรชั่ว ปัญญานำไปในกิจทั้งปวงที่เป็นความดี ถือเอาเฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์ ละทิ้งสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์

~ ภิกษุ ต้องฟังพระธรรมศึกษาพระธรรม มิฉะนั้น จะเป็นภิกษุทำไม และก่อนบวชก็ต้องรู้ด้วยว่าบวช ทำไม ไม่ใช่เพราะไม่รู้จะทำอะไร ก็บวช นั่นย่ำยีพระศาสนา คิดว่าใครก็บวชได้ ไม่ต้องรู้อะไร ก็บวช

~ ธรรม ก็ไม่ศึกษา สิกขาบทก็ไม่รักษาไม่ประพฤติตาม แล้วเป็นภิกษุหรือ เพราะฉะนั้น ก็ไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัย

~ ปัญหาทุกอย่างมาจากความไม่รู้ เพราะฉะนั้น ถ้าทุกคนไม่รู้ ไม่ศึกษาพระธรรมวินัย ไม่ว่าจะเป็นคฤหัสถ์หรือบรรพชิต ก็ต้องผิด เพราะไม่รู้

~ สิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุด คือ ความเข้าใจถูก ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ผิด แต่ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดลึกซึ้งที่จะเข้าใจ เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจแล้ว พุทธบริษัทก็สามารถที่จะดำรงพระพุทธศาสนาได้ แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจเลย ก็ย่ำยีพระธรรมวินัย

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงกระทำสิ่งใด ไม่ทรงกระทำสิ่งใด ภิกษุต้องเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าพระพุทธเจ้าไม่ทำ แต่เราจะทำ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ทรงรับเงินทอง แต่เราจะรับ

~ ภิกษุใดไม่ประพฤติตามพระธรรมวินัย คฤหัสถ์เพ่งโทษ (กล่าวชี้ให้เห็นว่าสิ่งนั้นเป็นโทษ) ติเตียน (กล่าวให้รู้สึกตัวว่าเป็นพระภิกษุทำอย่างนี้ได้อย่างไร) โพนทะนา (กล่าวกระจายความจริง เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องในทุกที่ทุกสถาน) เพราะเป็นผู้ที่เข้าใจว่าภิกษุ ไม่ใช่คฤหัสถ์ ภิกษุจะมาเหมือนคฤหัสถ์ ไม่ได้ จะทำอย่างคฤหัสถ์ ไม่ได้

~ คฤหัสถ์พร้อมเพรียงกันศึกษาพระธรรมดำรงรักษาพระธรรมวินัย เพราะฉะนั้น ถ้าภิกษุใด ไม่ประพฤติตามพระธรรมวินัย คฤหัสถ์ควรรู้ไหม ทุกคนมีหน้าที่ที่จะช่วยกันกล่าวพระธรรมวินัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว เพื่อเป็นเครื่องเตือนให้ระลึกในความเป็นภิกษุ จะต้องเป็นภิกษุ ไม่ใช่คฤหัสถ์ ไม่ใช่ปะปนกัน พระภิกษุจะมาเหมือนกับคฤหัสถ์ได้อย่างไร

~ ถ้าพระพุทธศาสนา จะรุ่งเรือง ก็ด้วยปัญญา ด้วยความเห็นถูก ด้วยความเข้าใจถูก ด้วยความหวังดี เพราะฉะนั้น ทุกคำที่ใครก็ตามกล่าวพระธรรมวินัยให้คนอื่นได้เข้าใจถูก ก็ถูกต้อง เป็นสิ่งที่ดีควรที่จะให้ทุกคนได้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่ใช่คิดกันเองแล้วจ้วงจาบพระธรรมวินัย ย่ำยีพระธรรมวินัย

~ พระพุทธศาสนา สำหรับผู้ที่ได้ฟังเข้าใจแล้ว ต่างกันเป็นพุทธบริษัทที่เป็นคฤหัสถ์และบรรพชิต ที่จะต้องอาศัยกันและกัน ที่จะศึกษาและช่วยกันดำรงพระพุทธศาสนา ไม่ใช่ให้ไม่ศึกษาแล้วก็เข้าใจผิดตามๆ ผู้ที่ไม่ศึกษา เพราะฉะนั้น พระธรรมวินัยเท่านั้นที่พระองค์ตรัสไว้ดีแล้ว เป็นศาสดาแทนพระองค์ ถ้าเป็นอย่างนี้ พระพุทธศาสนารุ่งเรือง ประเทศชาติรุ่งเรือง

~ ถ้ามีความเข้าใจถูกต้อง ว่า อะไรถูก อะไรผิด การรู้ความจริงว่า อะไร ถูก ก็จะทำให้ทำสิ่งที่ถูก ถ้ารู้ความจริง ว่า อะไรผิด ก็จะไม่ทำสิ่งที่ผิด

~ คุณความดี ทุกขณะ เป็นการเสียสละ เสียสละซึ่งความไม่ดี เสียสละความเห็นแก่ตัวทุกสิ่งทุกอย่างหมด, ขณะที่ยังไม่อยากจะเข้าใจธรรม ยังไม่อยากฟัง เก็บไว้ก่อน รอไว้ก่อน ก็คือ ไม่ใช่ขณะที่จะสละความไม่รู้ แล้วเมื่อไหร่จะสละได้ เพราะฉะนั้น ยิ่งสละเร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งดี เพราะใครจะรู้ว่าจะอยู่ในโลกนี้อีกนานเท่าไหร่

~ จะไม่รู้ต่อไป ถ้ายังคงไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
Nataya
วันที่ 16 มิ.ย. 2561

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
pulit
วันที่ 16 มิ.ย. 2561

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ปาริชาตะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
thilda
วันที่ 26 มิ.ย. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ