นอกจากฟังธรรมแล้วมีวิธีอื่นอีกไหม
ผู้ฟัง อยากจะทราบว่า นอกจากการฟังแล้ว มีวิธีอื่นอีกไหม
ท่านอาจารย์ อ่านได้ไหมคะ ได้ สนทนาธรรมได้ไหมคะ ไตร่ตรองพิจารณาจนค่อยๆ เข้าใจขึ้น
ผู้ฟัง อย่างอื่นมีอีกไหม
ท่านอาจารย์ นั่นซิคะ ลองพิจารณาดูว่า อย่างอื่นมีอีกไหม เพราะจะเข้าใจได้อย่างไร ถ้าอ่านเฉยๆ ไม่พิจารณาเลย เข้าใจได้ไหม ถ้าฟังเฉยๆ ไม่พิจารณาให้มั่นคงขึ้น จะพิจารณาสิ่งที่กำลังปรากฏได้ไหม ก็เพียงแต่เพียงเข้าใจเรื่องของสิ่งที่กำลังปรากฏ
เพราะฉะนั้น ความเป็นผู้ตรง คือ ๑. ขณะนี้ไม่รู้ลักษณะที่เห็น ๒ . ยังไม่หมดความสงสัยว่า ธาตุรู้หรือสภาพรู้ในขณะที่เห็นเป็นอย่างไร รู้แต่เพียงว่า ไม่ใช่รูปธรรม เพราะเหตุว่าเป็นสภาพที่ไม่มีรูปใดๆ เลยทั้งสิ้น แต่สามารถเห็น สามารถได้ยิน สามารถคิดนึก ลองหาสภาพนั้นดูซิว่า หาเจอไหม ขณะที่กำลังเห็น ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางตา แต่เป็นธาตุ ธรรมที่สามารถเห็น และกำลังเห็นด้วย
นี่คือฟังก่อน มิฉะนั้นจะไม่รู้ตรงลักษณะของสภาพที่เป็นเพียงสภาพเห็นที่กำลังเห็น ทางหูอีก ทางจมูกอีก ไม่ได้คลายความสงสัยเลย เพราะเหตุว่าความสงสัย และความไม่รู้จะคลายด้วยปัญญา ไม่ใช่ด้วยเราพยายาม แต่เพราะปัญญาค่อยๆ เข้าใจเพิ่มขึ้น ก็ละความสงสัย เช่นถ้าไม่เคยฟังธรรมเลย แล้วใครจะบอกว่าไม่มีตัวตน ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล เป็นแต่เพียงธรรม ยากที่จะเชื่อ แต่ถ้าฟังแล้วพิจารณาละเอียดขึ้น มากขึ้น เห็นไม่ใช่ได้ยิน เห็นไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางตา เห็นไม่ใช่เสียง ก็พอจะรู้ว่า ต้องมีธาตุชนิดหนึ่งซึ่งกำลังเห็น หรือธาตุชนิดหนึ่งกำลังได้ยิน เพราะเหตุว่ามีจริง จะบอกว่าไม่มีจริงได้อย่างไร และเมื่อมีจริงแล้ว ใครก็บังคับบัญชาไม่ได้ ธาตุคือสภาพธรรมที่เป็นอนัตตา ไม่ใช่อัตตา
เพราะฉะนั้น ก็เริ่มค่อยๆ เข้าใจขึ้น แต่ยังไม่หมดความสงสัย เพราะเหตุว่าผู้ที่จะหมดความสงสัยในสภาพธรรม คือ พระโสดาบันบุคคลเมื่อรู้แจ้งอริยสัจธรรม
เพราะฉะนั้น ความห่างไกลของขณะที่กำลังฟังกับขณะที่กำลังรู้แจ้งอริยสัจธรรม ต้องประจักษ์แจ้งพระนิพพานด้วย จึงจะหมดความสงสัยทั้งหมดได้
เพราะฉะนั้น ตอนนี้กำลังอยู่ตรงไหน กำลังอบรมเจริญปัญญาด้วยความเป็นผู้ตรงว่า ตราบใดที่ยังไม่เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่างที่มีจริงในชีวิตประจำวัน ไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องอื่นเลย เพราะขณะนั้นยังไม่รู้ จึงต้องฟัง จึงต้องอ่าน จึงต้องไตร่ตรองพิจารณาค่อยๆ รู้ขึ้น ขณะที่รู้จะค่อยๆ ละความไม่รู้ อย่างปัญญาระดับขั้นฟัง รู้ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่ตัวตน ก็ละความสงสัยว่า เห็นเป็นอะไร ได้ยินเป็นอะไร เพราะรู้ว่า เป็นสิ่งที่มีจริง และไม่ใช่เราด้วย เป็นธรรมชนิดหนึ่ง
นี่คือละความสงสัย และความไม่รู้ ซึ่งเกิดจากการไม่เคยฟังธรรมมาก่อน แต่ยังไม่ประจักษ์การเกิดดับ และความจริงของลักษณะของสภาพธรรมนั้น
เพราะฉะนั้น การจะหมดความไม่รู้ และความสงสัยได้ ปัญญาต้องเจริญขึ้น ผู้ที่มีปัญญาเกิดขึ้น จะรู้ไหมว่า เป็นปัญญาหรือเปล่า เช่น ขณะที่กำลังเข้าใจ รู้ใช่ไหมว่า เข้าใจ ภาษาไทยว่าเข้าใจ ภาษาบาลี คือ ปัญญา นี่เป็นสิ่งที่เราจะต้องเข้าถึงอรรถของคำในภาษาบาลี เพราะเหตุว่าถ้าเราไม่รู้ว่า คำนั้นมีความหมายว่าอะไร เราตอบตามความจำ อย่างขณะนี้เห็นเป็นอะไร ตอบได้ว่า เป็นธรรม เห็นเป็นนามธรรมหรือเป็นรูปธรรม ตอบได้ว่าเป็นนามธรรม แต่เข้าใจอรรถของคำว่า นามะ รูปะ หรือธรรม แค่ไหน ถ้าเข้าใจแล้วคนอื่นจะบอกว่าไม่เข้าใจได้ไหม ไม่ได้ ถ้าเราไม่เข้าใจ คนอื่นมายกย่องสรรเสริญว่าเราเข้าใจ เราดีใจ แล้วเราเข้าใจหรือเปล่า หรือเรารู้ว่า เขาไม่รู้ว่า เราไม่เข้าใจ ใช่ไหมคะ
เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ตรง ผู้ตรงเท่านั้นจึงจะได้สาระจากธรรม และต้องเป็นผู้ละเอียดรอบคอบด้วย รู้ว่าความจริงอย่างนี้ ปัญญาจะต้องเจริญขึ้น และรู้ตรงอย่างนี้ ถ้าปัญญาเกิดรู้ตรงอย่างนี้ จะไม่เป็นอื่นเลย จะไม่ต่างกับที่กำลังฟังในขณะนี้เลย
จิตเป็นนามธรรม ไม่มีรูปร่าง จิตมืดไหม มืด แต่ไม่รู้ในความมืดของจิตที่เป็นธาตุรู้โดยไม่มีอะไรเจือปนเลย
นี่คือการแยกขาดจากกันของสภาพที่เป็นนามธรรมกับรูปธรรม รูปธรรมอย่างเสียง มืดหรือสว่าง มืด กลิ่น มืด นอกจากสิ่งเดียวที่กำลังปรากฏทางตาเท่านั้น เป็นรูปเดียวที่สามารถปรากฏให้เห็นสัณฐาน วัณณะ สีสันต่างๆ ได้
เพราะฉะนั้น รูปมีหลายอย่าง แต่รูปทั้งหมด มีรูปเดียวที่ปรากฏให้รู้ได้ เห็นได้ ทั้งๆ ที่เสียงมี ไม่มีใครเห็นเสียงเลย กลิ่นมี ไม่เห็นกลิ่น แต่สามารถรู้กลิ่นทางจมูก รสมี ไม่สามารถเห็นรส แต่สามารถลิ้มรสด้วยจิตที่รู้สิ่งที่กระทบทางลิ้น ถ้าไม่กระทบลิ้น เอามือจับก็ไม่รู้ว่า หวานหรือเค็มแค่ไหน แต่เมื่อใดที่กระทบลิ้น และจิตที่ลิ้มรสเกิดเมื่อไร เมื่อนั้นจึงสามารถรู้ว่า รสที่ปรากฏในขณะนั้นเป็นรสอะไร แล้วไม่ต้องเรียกชื่อด้วย เพราะลักษณะนั้นกำลังเป็นสภาพธรรมที่ปรากฏความจริงของลักษณะที่จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้
มีคนสงสัยเรื่องเหนียว รู้ได้ทางไหน เหนียวก็จะไม่รู้จักแล้วหรือ พอศึกษาธรรมสิ่งที่เคยเป็นชีวิตประจำวันกลายเป็นอะไรก็ไม่รู้ แต่ความจริงสิ่งนั้นเวลาที่ไม่ศึกษาก็พูดได้ทุกอย่าง แข็งก็รู้ เหนียวก็รู้ ลื่นก็รู้ อะไรก็รู้หมด แต่พอถึงธรรม อะไร หายไปแล้ว สิ่งที่เคยรู้เป็นปกติธรรมดา ไม่รู้ว่า สิ่งนั้นเป็นอะไร โดยชื่อ แต่สามารถรู้ลักษณะที่กระทบกาย เห็นก็ไม่ได้ ลักษณะที่กระทบกายอย่างแข็ง จะมาให้เห็นแข็ง อย่างไรก็ไม่เห็น เห็นได้แต่เพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา
เพราะฉะนั้น นี่คือธรรมซึ่งเกิดดับสืบต่อเร็วมาก ละเอียดมาก และไม่รู้ความจริงทำให้หลงอยู่ในนิมิต คำว่า “นิมิต” มีความหมายหลายอย่าง แต่อย่างหนึ่งซึ่งน่าคิด น่าเข้าใจก็คือ เมื่อสภาพธรรมเกิดดับเร็วมาก รูปเกิดดับเร็ว แต่ยังไม่เร็วเท่าจิตเจตสิก นามธรรมเกิดดับเร็วกว่ารูปธรรม รูปๆ หนึ่งซึ่งเป็นสภาวะรูป มีลักษณะจริงเมื่อเกิดแล้ว จิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ รูปนั้นจึงจะดับไป และในขณะนี้เหมือนเห็นกับได้ยินพร้อมกัน ระหว่างเห็นกับได้ยิน จิตเกิดดับเกิน ๑๗ ขณะ
เพราะฉะนั้น รูปๆ เดียวดับเร็วแค่ไหน นักวิทยาศาสตร์หรือใครคนไหนที่จะแสดงการเกิดดับของรูปได้ว่า เกิดดับเร็วอย่างนั้น
เพราะฉะนั้น เมื่อรูปทุกรูปเกิดดับเร็วมาก ขณะใดก็ตามที่ปรากฏ ขณะนั้นนิมิตของรูปซึ่งเกิดดับสืบต่อกันปรากฏ อย่างสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา จิตเห็นก็เกิดดับเร็วมาก และสิ่งที่ปรากฏสืบต่อเร็วเหมือนไม่ดับ
เพราะฉะนั้น สิ่งที่ยังเหลือให้เห็น คือ นิมิตของสิ่งที่เกิดดับเพราะความรวดเร็ว เพราะฉะนั้น เราอยู่ในโลกของนิมิต โลกของความไม่รู้ โลกของการเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้วก็ไม่รู้ว่า สิ่งนั้นเกิดดับเร็วมาก ก็เลยทำให้เป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้อยู่ ตั้งแต่เกิดจนตาย กี่ภพกี่ชาติก็มีเรา มีเขา มีเรื่องราวต่างๆ แต่ไม่รู้เลยว่า ถ้าไม่มีจิต เจตสิก รูป ไม่มีสภาพธรรม เหตุการณ์ต่างๆ ก็เกิดไม่ได้ เรื่องราวต่างๆ ก็มีไม่ได้ แต่ให้ให้รู้ความจริงว่า แม้ขณะนี้ก็เห็นนิมิต ไม่เห็นการเกิดดับอย่างรวดเร็ว ทุกอย่างเร็วมาก