ทำอย่างไรจึงจะเข้าใจธรรม


    ธรรมเป็นเรื่องละเอียด และเราควรทบทวนกันบ่อยๆ ข้อสำคัญเราจะได้ยินศัพท์ใหม่ๆ และเราอาจยังไม่เข้าใจศัพท์ ถ้าเพียงแต่จำเฉยๆ ก็ง่าย แต่จะให้เข้าใจจริงๆ ก็จะต้องไตร่ตรองพิจารณา เพราะว่ามีความละเอียดต่างกัน เช่นคำว่า “สังขาร” คนไทยก็ใช้ สังขารไม่เที่ยง หมายความว่าอะไรสำหรับผู้ที่ไม่ศึกษาธรรม ก็คิดแต่เพียงเป็นร่างกาย เกิดมาแล้วก็แก่ แล้วก็เจ็บ แล้วก็ตาย สังขารไม่เที่ยง แต่ความหมายจริงๆ ของสังขาร เมื่อเริ่มศึกษาต้องเข้าใจความหมายที่ถูกต้อง และความเข้าใจนี้จะเปลี่ยนไม่ได้เลย ไม่ว่าจะศึกษาต่อไปในพระวินัย พระสูตร พระอภิธรรม หรือในอรรถกถาของพระพุทธศาสนา ของพระไตรปิฎก หมายความก็ต้องเหมือนเดิม แต่ขยายความให้เข้าใจชัดเจนขึ้น

    เพราะฉะนั้น การศึกษาต้องเริ่มตามลำดับตั้งแต่ตอนแรก แล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละน้อย ก็ขอทบทวนสำหรับผู้ที่เพิ่งอาจมาวันนี้ และสำหรับผู้ที่เคยฟังแล้ว ๒ – ๓ ครั้ง จะได้พิจารณาว่า ไม่ต้องไปดูหนังสือที่ไหนเลย เพียงแต่ฟังแล้วพิจารณาแล้วเข้าใจ ก็จำได้ อย่างคำว่า สังขาร ก่อนศึกษาพระพุทธศาสนา เราก็เข้าใจว่า เป็นรูปร่างกาย แต่ว่าความหมายจริงๆ หมายความถึงสิ่งใดก็ตามในขณะนี้ที่กำลังปรากฏ หมายความว่าต้องเกิด ถ้าไม่เกิดจะปรากฏไม่ได้เลย เช่นเสียง ถ้าเสียงไม่เกิดขึ้น ก็จะไม่ได้ยินเสียงนั้นเลย

    เพราะฉะนั้น ทุกอย่างในขณะนี้ ทางตา หรือทางกายที่กระทบสัมผัส หรือทางใจที่คิดนึก หมายความว่าสภาพธรรมนั้นต้องเกิดจึงได้ปรากฏ

    เพราะฉะนั้น ความหมายที่แน่นอนของสังขารก็คือ สภาพธรรมใดก็ตามที่ปรากฏ หมายความต้องเกิดขึ้น และสภาพธรรมที่จะเกิดขึ้นได้ ก็ต้องมีปัจจัยปรุงแต่ง เราอาจจะไม่รู้ เพราะไม่เคยมานั่งคิดพิจารณาเลยว่า โลกทั้งโลกมีอะไรบ้าง แล้วปรากฏทางไหนบ้าง แต่เมื่อได้ศึกษาธรรมแล้ว โลกก็จะแคบ หมายความว่าเป็นโลกเพียง ๖ โลกเท่านั้นเอง ถ้าเราจะไม่ศึกษาธรรม โลกมีเยอะ มองไปบนฟ้าก็เห็นดาวต่างๆ แต่ตามความจริงแล้วในพระพุทธศาสนาโลกมี ๖ โลก คือ ขณะที่กำลังเห็นเป็นโลกหนึ่ง ที่สีสันวัณณะแสงสว่างต่างๆ ปรากฏ ขณะใดก็ตามที่มีการเห็น ก็มีการปรากฏของโลกนี้ แต่ถ้าคนนั้นตาบอด โลกมืดสนิท จะไม่มีโลกแสงสว่าง หรือสีสันวัณณะปรากฏเลย

    เพราะฉะนั้น โลกทางตาก็เป็นโลกหนึ่ง โลกทางหูก็อีกโลกหนึ่ง นี่เราเคยปนรวมกันทั้ง ๖ โลก แต่ถ้าแยกจริงๆ มาเป็นแต่ละโลก ก็จะรู้ว่า ไม่ว่าโลกที่กว้างใหญ่ไพศาลกี่โลกก็ตาม ความจริงที่จะปรากฏได้ก็แค่ ๖ ทาง คือ ทางตา โลกของสีสันวัณณะ ๑ ทางหู โลกของเสียง ทางจมูก โลกของกลิ่น ทางลิ้น โลกของรส ทางกาย โลกที่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส และทางใจ คือคิดนึก ไม่มีโลกใดๆ ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย แต่ใจก็เป็นโลกหนึ่งซึ่งคิด เวลาคิด จิตใจเกิดขึ้นจึงได้คิด ถ้าขณะนั้นไม่มีจิตเลย ก็ไม่มีสภาพรู้ ไม่สามารถเห็น ไม่สามารถได้ยิน ไม่สามารถคิดนึกอะไรได้

    เพราะฉะนั้น เรากำลังจะพูดถึงสิ่งที่มีจริง ซึ่งปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อเกิดขึ้น แต่ถ้าไม่เกิดก็ไม่ปรากฏ

    นี่คือความหมายของ “สังขาร” สิ่งใดก็ตามที่ปรากฏ เป็นสังขารทั้งหมด เป็นธรรมทั้งหมด ซึ่งต่างกันเป็น ๒ ประเภท คือ นามธรรม และรูปธรรม


    หมายเลข 4665
    27 ก.ค. 2567