ไม่ใช่รู้จักธรรมเพียงชื่อ
ผู้ฟัง ในความรู้สึกของตัวเอง ขณะไหนที่ห่างจากพระธรรม ขณะนั้นก็จะเป็นไปกับรูป เสียง กลิ่น รส มีใครพูดอะไร บางทีความมั่นคงของเรายังไม่พอ ก็จะคล้อยตาม เพราะฉะนั้น ต้องอาศัยข้อมูลเยอะมากใช่ไหม
ท่านอาจารย์ ขณะนั้นที่เป็นไปกับเรื่องราวต่างๆ เป็นธรรม หรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็นธรรม แต่ขณะนั้นเราหลงลืมสติ
ท่านอาจารย์ ใช่ เพราะฉะนั้น เราจะไม่รู้จักธรรมโดยเพียงชื่อ หรือว่าคิดเรื่องราว แต่ว่าต้องรู้ตัวจริงๆ ของธรรมว่าแม้ขณะที่คิด เป็นไปกับความสนุกสนานเพลิดเพลินก็เป็นธรรม ทรงแสดงไว้โดยละเอียดว่าเป็นธรรมประเภทไหน จนกว่าจะรู้จริงๆ ว่าเป็นธรรม
คุณสำราญก็เห็นความจริงใช่ไหม ว่าเวลาที่ได้ยินได้ฟังธรรมก็เกิดความเข้าใจ ความเข้าใจจะเกิดขึ้นมาเองคงไม่ได้ ใช่ไหม ต้องอาศัยการฟัง การพิจารณาไตร่ตรอง และเวลาที่ไปที่อื่น และก็มีเรื่องราวต่างๆ เรื่องนั้นเรื่องนี้ ความเข้าใจเรื่องธรรมก็หายไป ขณะนั้นไม่ได้คิดถึงว่าเป็นธรรมเลย ทั้งๆ ที่ได้ยินได้ฟังว่าเป็นธรรม แต่ตามความเป็นจริงก็เทียบส่วนได้กับการที่ได้ยินธรรมน้อย หรือมากกว่าชีวิตประจำวันซึ่งเคยเป็นมาแล้วในสังสารวัฏฏ์ เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า ถึงแม้ว่าเราจะได้ยิน วันหนึ่งบางคนก็อาจจะบ่อยมาก อาจจะตั้งแต่ตีสี่ครึ่ง ตีห้า หกโมงเช้าก็แล้วแต่ ขณะนั้นก็มีความเข้าใจ แต่หลังจากนั้นแล้วก็เป็นโอกาส หรือเป็นปัจจัยของสิ่งที่สั่งสมมานานแสนนานที่จะต้องเป็นการไม่นึกถึงธรรม เพราะว่ามีเรื่องอื่นที่ปรากฏให้จำให้คิด และก็ปรุงแต่งให้เหมือนเคยคือเป็นความไม่รู้ในลักษณะของสิ่งนั้นต่อไป
เพราะฉะนั้น จึงปรากฏว่า แต่ละบุคคลซึ่งจากความเป็นปุถุชน สู่ความเป็นพระอริยบุคคล ไม่เร็ว เป็นจิรกาลภาวนา หมายความว่าต้องเป็นการอบรมจริงๆ เป็นความตรงต่อธรรม ต้องเป็นสัจจะจริงๆ ว่าเรามีความเข้าใจถูก ในสิ่งที่กำลังปรากฏระดับไหนแค่ไหน ขณะนี้เราไม่ได้เห็นผิดจากการฟัง มีความรู้ความเข้าใจว่าทุกอย่างเป็นธรรม แค่ฟัง แต่ตัวจริงของธรรมที่กำลังเห็น ไม่ใช่เมื่อฟังอย่างนี้แล้วจะรู้ลักษณะที่เห็น ความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมซึ่งไม่ใช่ตัวตน แต่ยังจะต้องมีการที่รู้ความต่างของความรู้ขั้นฟัง และก็ขั้นคิด กับการที่เริ่มเห็นตัวจริงของธรรม ในขณะที่สภาพธรรมแต่ละอย่างปรากฏให้เห็น ตามความเป็นจริง ซึ่งไม่ใช่ระดับเพียงขั้นที่กำลังฟังเท่านั้น
ที่มา ...