ไม่จำเป็นต้องเห็นผิด


    เพราะฉะนั้นในขณะที่เราบอกว่า เราชอบดอกกุหลาบ เราชอบดอกกล้วยไม้ แท้ที่จริง ก็มีสีที่ปรากฏหลากหลายต่างกัน ซึ่งขณะนั้นโลภะกำลังพอใจติดข้องในสิ่งที่ปรากฏ คือ ในสี เพราะฉะนั้นในขณะนั้นจะมีความเห็นผิดเกิดร่วมด้วยไหม ถ้ามี ไม่แคล้วเลย ทุก ขณะจิตต้องมี ใช่ไหมคะ แต่นี่ไม่ใช่อย่างนั้นเลย โลภะที่เกิดร่วมกับความเห็นผิด ก็มี โลภะที่ไม่เกิดร่วมกับความเห็นผิด ก็มี

    เพราะฉะนั้นเพียงการฟัง เราไม่สามารถที่จะรู้ได้หรือกล่าวได้ จนกว่าเมื่อสิ่งนั้น กำลังเป็นอารมณ์ของสติ มีลักษณะปรากฏ แล้วถึงจะรู้ว่า ในขณะที่กำลังมีสิ่งนั้นเป็น อารมณ์ ปัญญาซึ่งเกิดพร้อมสติสัมปชัญญะ สามารถจะรู้ลักษณะของสภาพจิตนั้นได้ว่า มีความเห็นผิดเกิดร่วมด้วย หรือว่าไม่มีความเห็นผิดเกิดร่วมด้วย เพราะขณะที่กำลังพอ ใจสีสันวัณณะต่างๆ ขณะนั้นมีสี รูปหนึ่งที่ปรากฏทางตา กำลังเป็นที่พอใจของโลภะ ขณะนั้นมีความเห็นผิดเกิดร่วมด้วยไหมคะ ไม่มี

    นี่ก็คือต้องพิจารณาแต่ละขณะอย่างละเอียด แต่ถ้าโลกนี้ไม่มีอะไรเหลือเลย นอก จากรูปที่ปรากฏ รูปนั้นยังเป็นเรา เห็นไหมคะ แม้ขณะนั้นก็ตามแต่ ต้องมีสิ่งที่เป็นที่ตั้ง ของความเห็นผิดที่ยังยึดถือว่า ยังมีเราอยู่ รูปนั้นยังเป็นเรา

    เพราะฉะนั้นเราก็จะเข้าใจความหมายว่า ยึดถือรูปว่าเป็นเรา เพราะฉะนั้นเรื่องของ ธรรม ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เรากล่าวโดยประเภท และโลภมูลจิต ๘ ก็มีทิฏฐิเกิดร่วมด้วย ๔ ไม่มีทิฏฐิเกิดร่วมด้วย ๔ แต่จริงๆ แล้ว ต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า ขณะนั้นโลภะกำลังติด ข้องในอารมณ์อะไร จึงจะรู้ว่า ขณะนั้นจริงๆ มีทิฏฐิเจตสิกเกิดร่วมด้วยหรือไม่มี หรือเป็น เพียงโลภะ อย่างที่เราชอบดอกไม้ต่างๆ ชอบขนมอร่อยๆ ขณะนั้นกำลังพอใจในรส กำลังติดข้องในรส ขณะนั้นมีความเห็นผิดเกิดร่วมด้วยหรือเปล่า ก็จะรู้ได้ ขณะอื่นที่ ไม่ใช่ขณะนั้น กำลังมีความเห็นผิดไหม เราจะถามได้ สนทนากันได้กับผู้ที่มีความเห็น ต่างๆ ก็จะรู้ว่า คำใดที่กล่าวออกมาด้วยความเห็นผิด ขณะนั้นจิตต้องยึดถือในความเห็น นั้น จึงมีความติดข้องในความเห็นนั้น


    หมายเลข 5273
    8 ก.ย. 2567