จะรู้ตัวจริงหรือเรื่องราว


    ผู้ฟัง อย่างนั้นท่านอาจารย์จะสอนให้เจริญสติปัฏฐานอยู่บ่อยๆ แต่ก็ทำทาน ทำศีลไปด้วย

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ให้เจริญสติปัฏฐานอย่างเดียวนี่ค่ะ กุศลทุกชนิด กุศลก็เป็นธรรมฝ่ายดี อกุศลก็เป็นธรรมฝ่ายไม่ดี แล้วก็เป็นอนัตตาทั้งหมด จะให้สติปัฏฐานเกิดโดยไม่มีกุศลอื่นก็ไม่ได้ ถ้ามีความเข้าใจที่ถูกต้อง จะให้มีกุศลอื่น ไม่ให้สติปัฏฐานเกิดก็ไม่ได้ คือ ให้มีความเข้าใจในความเป็นอนัตตาจริงๆ แล้วไม่หวัง ถ้าหวังมากก็คือโลภะเข้ามาเป็นอาจารย์ เป็นลูกศิษย์กันต่อไปอีก

    ผู้ฟัง เคยได้ยินคำกล่าวว่า อันนี้เป็นบาทของอันนั้น ต้องทำอันนั้นก่อน ถึงจะได้อันนี้ มันจะจริงไหมครับ อย่างศีลเป็นบาทของสมถะหรือวิปัสสนา เพราะฉะนั้นต้องรักษาศีล ให้ทานก่อน ถึงจะเจริญภาวนาได้

    ท่านอาจารย์ แล้วคนที่เข้าใจธรรมแล้ว จะล่วงศีลไหม

    ผู้ฟัง ก็ไม่ล่วงครับ

    ท่านอาจารย์ ไม่ต้องห่วง ถ้ามีความเข้าใจธรรมแล้ว

    ผู้ฟัง อย่างความกตัญญู ถ้าเราจะดูในเจตสิก ๕๒ ไม่มีกตัญญูเจตสิกเลย ใช่ไหมครับ อย่างนี้จะถือว่าไม่มีองค์ธรรมหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ แต่ความกตัญญู มีไหมคะ

    ผู้ฟัง มีครับ

    ท่านอาจารย์ แล้วเป็นอะไร

    ผู้ฟัง เป็นอะไรสักอย่าง

    ท่านอาจารย์ อะไรละคะ ปรมัตถธรรมมีเท่าไร

    ผู้ฟัง มีจิต มีเจตสิก มีรูป มีนิพพาน ก็น่าจะเป็นเจตสิก แต่ว่าไม่มีกตัญญูเจตสิก

    ท่านอาจารย์ ไม่มีหรอกค่ะ มีแค่ ๕๒ ไม่อย่างนั้นต้องมีเป็น ๑๐๐ เป็น ๑,๐๐๐ เป็น ๑๐,๐๐๐ เป็น ๑๐๐,๐๐๐ ไม่มีกตัญญูเจตสิก แต่มีสภาพธรรมที่เป็นโสภณเจตสิก

    ผู้ฟัง ก็คือเราหลายตัวมารวมกันแล้วตั้งชื่อใหม่หรือเปล่าครับ

    ท่านอาจารย์ เมื่อเป็นโสภณก็เป็นโสภณ ทำไมเราต้องไปเรียกอะไรละคะ

    ผู้ฟัง ถ้าไม่เรียก เราก็ไม่สามารถระลึกรู้ได้ว่า เป็นอะไร

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นกุศลไงคะ เป็นสภาพธรรมที่ดี

    ผู้ฟัง กุศลแบบคลุมเครือ

    ท่านอาจารย์ ทำไมต้องเอาชื่อไปใส่ ถึงจะรู้จักตัวจริงหรือคะ นี่เราถูกหรือผิด ต้องเอาชื่อไปใส่ถึงจะรู้จักตัวจริง นี่ถูกหรือผิด

    ผู้ฟัง ถ้าไม่มีตัวจริง แล้วจะมีชื่อหรือครับ

    ท่านอาจารย์ มีตัวจริง ตัวจริงนี่จะเรียกอะไรก็ได้ ไม่เรียกอะไรเลยก็เป็นตัวจริงๆ

    ผู้ฟัง เรามาตั้งเพื่อให้คนรุ่นหลังระลึกได้ว่า มันเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่อย่างนั้น

    ท่านอาจารย์ ค่ะ ก็เป็นกุศล

    ผู้ฟัง กุศลก็มีตั้งหลายอย่าง

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ก็ไล่เรียงไปซิว่า กุศลมีเท่าไร แล้วปัญญาของเราก็ไปหาให้ได้ จะพ้นจากกุศลไปได้ไหมคะ

    ผู้ฟัง พ้นไปไม่ได้แน่นอน แต่ว่า ๕๒ นี่ ตัวไหนครับ

    ท่านอาจารย์ ก็ตัวไหน ลองหาดูซิว่า เป็นอะไร นี่คือปัญญาของเรา เขาบอกมาให้เลยว่า กุศลเป็นกุศล ไม่ใช่อกุศล และกุศลเป็นไปในอะไรบ้าง ในอะไร เราไปหาดูให้เจอ นั่นคือปัญญาของเรา

    ผู้ฟัง สติปัฏฐานไม่เกิด คงจะแค่

    ท่านอาจารย์ นี่ไม่ใช่สติปัฏฐาน

    ผู้ฟัง แต่ถ้าสติปัฏฐานไม่เกิด ไม่รู้เลย

    ท่านอาจารย์ ไม่รู้ตัวจริง แต่รู้เรื่องราวได้ เพราะฉะนั้นจะรู้อะไร จะรู้ตัวจริง หรือจะรู้เรื่องราว

    ผู้ฟัง อยากจะรู้ตัวจริง แต่เมื่อยังรู้ไม่ได้ ก็รู้เรื่องราวไปก่อน

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเรื่องราวก็ไปหาเรื่องราวว่า เวลากุศลเกิด มีทางของกุศลกี่ทาง อะไรบ้าง

    ผู้ฟัง แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าถูกหรือผิด

    ท่านอาจารย์ ก็เขาบอกไว้ว่า เวลากุศลจิตเกิด ทางของกุศล ที่ตั้งของการกระทำที่เป็นกุศลมีอะไรบ้าง

    ผู้ฟัง ก็ต้องไปเรียนอีก ไปศึกษา

    ท่านอาจารย์ แน่นอนค่ะ ยังไม่รู้หรือคะ คิดว่ารู้แล้ว

    ผู้ฟัง คือว่า อันนั้นคือทางใช่ไหมครับ แต่ว่าตัวจริง

    ท่านอาจารย์ ตัวทาง ถ้าไม่มีจิต จะมีทางไหม ถ้ากุศลจิตไม่เกิด จะมีการกระทำทางกาย ทางวาจา ที่เป็นกุศลไหม

    ผู้ฟัง ก็ไม่มีครับ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็ต้องเป็นจิตที่เป็นกุศล แล้วก็มีกาย วาจาที่ทำให้เกิดการกระทำจากกุศลจิตนั้น

    ผู้ฟัง อาจารย์พูดแล้วเหมือนคลุมเครือมากเลยครับ

    ท่านอาจารย์ ไม่คลุมเครือ หาให้เจอ แล้วเป็นปัญญาของใคร แล้วถ้าหาเองเป็นปัญญาของใคร มีจิต มีเจตสิก มีการกระทำของจิต เจตสิกที่ดีไหมคะ ที่จะรู้ได้ว่า นี่เป็นการกระทำของจิต เจตสิกที่ดี มีทางไหนบ้าง อะไรบ้าง ที่รู้ว่าเป็นการกระทำของจิต เจตสิกที่ดี ไปตีเขา เป็นจิตเจตสิกที่ดีหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ดีครับ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นทาง กิริยาอาการ วัตถุของการกระทำของจิต เจตสิกที่ดีคืออะไรบ้าง

    ผู้ฟัง ไม่ทราบครับ

    ท่านอาจารย์ บุญกิริยาวัตถุมีเท่าไร

    ผู้ฟัง มี ๑๐

    ท่านอาจารย์ แล้วเมื่อกี้บอกว่า ไม่รู้ได้อย่างไรคะ บุญ กิริยา วัตถุ ถ้ากุศลจิตเกิดก็จะมีกาย วาจาที่เป็นกุศล กาย วาจา ใจเป็นกุศล แล้วแต่ว่าจะเป็นทางกาย หรือทางวาจา หรือทางใจ ก็หาไปว่าอยู่ตรงไหน

    ผู้ฟัง แต่นี่มันกตัญญูนะครับ

    ท่านอาจารย์ กตัญญูคืออะไรคะ

    ผู้ฟัง กตัญญู คือ ต้องตอบแทน

    ท่านอาจารย์ นั่น กตเวทีค่ะ ถ้าเป็นคนไม่คิด ปัญญาไม่เจริญ แล้วไม่ใช่ให้ไปคิดเรื่องอื่น ที่ทำไม ทำไม แล้วรู้ไม่ได้ แต่สิ่งที่รู้ได้ คิดได้ ควรคิดให้เข้าใจขึ้น อย่างนอนหลับสนิท ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ได้ลิ้มรส ไม่ได้รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส จะกตัญญูได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้ครับ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นทางที่จะรู้ว่า กตัญญู ก็ต้องมีทางที่จะรู้ได้ว่า ขณะนั้นเป็นการรู้คุณ ทางไหน

    ผู้ฟัง ทางใจครับ

    ท่านอาจารย์ ค่ะ ก็มี ๖ ทาง เพราะฉะนั้นถ้าเราศึกษาธรรม เราก็รู้จักว่า ตัวธรรมจริงๆ พ้น ๖ ทางไม่ได้ แล้วทางใจเป็นอย่างไรถึงได้เป็นกตัญญูคะ

    ผู้ฟัง ก็รู้คุณ

    ท่านอาจารย์ ขณะนั้นคิด ไม่ใช่เห็น ไม่ใช่ได้ยิน ใช่ไหมคะ คิดก็เป็นเรื่อง ขณะนั้นคิดด้วยจิตประเภทไหน ก็สามารถจะรู้ได้

    ผู้ฟัง ประเภทกุศลจิต แต่ว่าประกอบด้วยเจตสิกอะไรไม่สามารถรู้ได้

    ท่านอาจารย์ ก็โสภณเจตสิก ๑๙ ถ้าประกอบด้วยปัญญา ก็เพิ่มอีก ถ้าประกอบด้วยวีรตีก็เพิ่มอีก ถ้าประกอบด้วยกรุณา หรือมุทิตาก็เพิ่มอีก ก็แล้วแต่อย่างหนึ่งอย่างใดเกิด

    ผู้ฟัง อย่างนั้นกตเวทีก็เหมือนกัน มีเจตสิก ๑๙ เหมือนกัน

    ท่านอาจารย์ ก็มี ๖ ทาง

    ผู้ฟัง ทางใจเหมือนกัน

    ท่านอาจารย์ แล้วแต่ว่าจะเป็นทางกาย หรือทางวาจา


    หมายเลข 8261
    24 ส.ค. 2567