ทานคือทาน
อ.สมพร เรื่องสติเป็นเรื่องใหญ่ เพราะว่าการให้ทานก็มีสติ การรักษาศีลก็มีสติ สตินั้นเป็นโสภณธรรม โสภณธรรมซึ่งหมายความว่าเป็นธรรมฝ่ายดี หรือฝ่ายงาม ไม่ใช่ ฝ่ายชั่ว คำว่า โสภณ โสภณ แปลว่า ดี แปลว่างาม เป็นธรรมฝ่ายดี หรือฝ่ายงาม คือสติ แต่ว่าสตินั้นถ้าไม่ประกอบด้วยปัญญาก็ยังงามไม่สมบูรณ์ เพราะว่ายังไม่ได้กำลังที่สมบูรณ์ แต่ถ้าสตินั้นประกอบด้วยปัญญา ขณะให้ทานก็ดี ขณะรักษาศีลก็ดี กุศลก็สมบูรณ์ และมีกำลังมากขึ้น เพราะเพิ่มปัญญา สติก็เป็นกำลังอันหนึ่ง เรียกว่า สติพละ แปลว่า กำลัง คือ สติ แต่ถ้ามีปัญญาขึ้นอีกอย่างหนึ่ง เรียกว่าปัญญาพละ ๒ กำลังย่อมมากกว่า ๑ กำลัง เพราะว่าสติกับปัญญานั้น ขณะที่เราให้ทาน เราระลึกอย่างไร ปัญญาถึงจะเกิดขึ้น ขณะที่ให้ทาน เราก็ไม่ผลีผลามให้ ไม่ลุกลี้ลุกลนให้ นึกถึงว่า กรรมเป็นใหญ่ กรรมมีอยู่จริง กรรมคือการกระทำ ทำบุญได้บุญ ทำบาปได้บาป อะไรเหล่านี้เป็นต้น รู้ตามความเป็นจริงว่า กรรมมีอยู่ ในอรรถกถาท่านแสดงถึงว่า คนที่มีปัญญาเชื่อในกรรมมากมาย แต่ว่าในที่นี้ เราก็ยกว่า เอาง่ายๆ ก็หมายความว่า ระลึกถึงว่า กรรมมีอยู่จริง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ผลของกรรมก็มีอยู่ ขณะที่ระลึกถึงกรรมอย่างนั้น ปัญญาก็เกิดขึ้นเหมือนกัน ปัญญาเกิดพร้อมกับสติ แต่อันนี้มีบัญญัติเป็นอารมณ์ ก็ไม่จัดเป็นสติปัฏฐาน สติปัฏฐานมุ่งเอาปรมัตถ์เป็นอารมณ์ การให้ทานประกอบด้วยปัญญา ถือว่ามี ผลานิสงค์มาก
ผู้ฟัง ขอเรียนถามในเรื่องทานอีกนิด อย่างกรณีที่ทำทาน เกี่ยวกับนอกศาสนาเลย มันก็จะเป็นกุศลได้ด้วย ใช่ไหมครับ ในส่วนนี้
ส. ทาน คือ ทาน
ผู้ฟัง ทาน คือ ทาน ไม่ต้องไปแยกแยะเลย
ส. ค่ะ ทานคือการให้สิ่งที่เป็นโยชน์กับบุคคลอื่น แล้วขณะนั้นก็ไม่มีชาติไหนทั้งสิ้น แล้วก็ไม่มีศาสนาใดๆ ทั้งหมด แต่ขณะนั้นเป็นจิตที่ดีงามเกิดขึ้นเป็นไปในการให้ จะรู้ว่าเป็นทานหรือไม่รู้ว่าเป็นทาน แต่ก็เป็นทาน ไม่ใช่ว่าคนต้องรู้แล้วถึงจะเป็นทาน สภาพจิตเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้นค่ะ ใครจะรู้หรือไม่รู้ เมื่อจิตอย่างนั้นเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น ก็เป็นอย่างนั้น
ผู้ฟัง ทานคือการให้ ให้ด้วยความสงเคราะห์ ถ้าเราไม่ได้ให้ด้วยความสงเคราะห์ ให้บางสิ่งบางอย่าง เช่น ให้ยาพิษ ให้สุรา ให้สิ่งที่ไม่ควรจะให้ ไม่เรียกว่าให้ด้วยความสงเคราะห์ ไม่ถือว่าเป็นทาน ให้เพื่อให้โทษเกิดขึ้น เราก็ต้องพิจาณาดูว่า เราให้อย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อความสงเคราะห์ การสงเคราะห์นั้นจัดเป็นทาน มีอานิสงค์มาก