กลับมาหาความเป็นจริง
ผู้ฟัง เรียนถามท่านอาจารย์ คำถามนี้นี้เคยถามครั้งหนึ่งแล้ว แต่ไม่ชัดเจน คือถ้าเราจะอบรมเจริญเมตตา ที่คุยกันส่วนใหญ่ก็เป็นแบบกระทำในขณะนี่เป็นสัตว์บุคคลอยู่ ในขณะนั้นเลย เท่ากับเจริญเมตตา สมมุติว่าเราคิดถึงใครที่เราโกรธ ไม่ได้อยู่กับเขาในขณะนั้น แต่คิดถึงใครที่เราโกรธ เราก็น้อมไปว่า ลักษณะความดีของเขาก็มีอยู่ เราควรจะเป็นมิตรกับเขา หรือในทางตรงกันข้ามขณะที่เรามีความรักในบุคคลใด แล้วก็มีโลภะ เราก็น้อมไปว่า ควรจะเป็นเพื่อนมากกว่า ในลักษณะที่ว่า เราไม่ได้กระทำที่บุคคลนั้นอยู่ต่อหน้า อันนี้จะเป็นการอบรมเจริญเมตตาได้ไหมคะ
ส. เมตตามีสัตว์บุคคลเป็นอารมณ์ แต่ไม่ได้หมายความต้องเฉพาะหน้า คิดด้วยเมตตาก็ได้ หมายความว่ามีสัตว์บุคคลเป็นอารมณ์
ขณะนี้มีธรรมะไหมคะ
ผู้ฟัง มีค่ะ
ส. เพราะฉะนั้นแทนที่จะเห็นว่า มีคนนั้นคนกำลังนั่งอยู่ หรือว่าเรื่องราวต่างๆ ที่ได้ยินได้ฟังเมื่อกี้นี้ เราก็กลับมาถึงสภาพธรรมะจริงๆ ตัวจริงของธรรมะ คือว่าขณะนี้ไม่มีใครเลยทั้งสิ้น มีแต่สภาพธรรมะซึ่งกำลังปรากฏทางหนึ่งทางใด คือ ทางตาหรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ กลับมาหาความเป็นจริง เพราะว่าเมื่อกี้นี้เราก็เป็นเรื่องราว เป็นตัวเรา ตัวเขา เรามีเมตตาต่อบุคคลนั้น บุคคลนี้ เพราะฉะนั้น ก็ยังมีเรามีเขา แต่ว่าตามความเป็นจริง ทุกคนคงได้ยินคำว่า “จิต” เป็นสภาพธรรมะที่มีจริงแน่นอน แต่ว่าจิตทั้งๆ ที่มีจริงตั้งแต่เกิดจนตาย มีใครบ้างที่รู้ลักษณะของจิต ต้องเรียน ต้องศึกษาจนกว่าสามารถที่จะรู้สภาพของจิต จริงๆ ได้ เพราะว่าเพียงแต่เราฟังธรรม คือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง แม้แต่ขณะนี้ เมื่อกี้นี้เป็นคน ทั้งนั้นเลย เดี๋ยวนี้กำลังจะเป็นจิต เจตสิก รูป ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วเป็นอย่างนี้ แต่ว่าถ้าเราไม่เข้าใจจริงๆ ไม่มีทางที่เราจะรู้ลักษณะของจิตได้ ก็เพียงแต่จำว่าคนไม่มี สัตว์ไม่มี สภาพธรรมะมี ๒ อย่างที่เป็นนามธรรมอย่างหนึ่ง แล้วก็เป็นรูปธรรมอย่างหนึ่ง สำหรับนามธรรมก็มี ๒ อย่าง คือ จิต กับ เจตสิก นี่ก็คือความจำ ก็จำไปอย่างนี้ ตายแล้วก็อาจจะได้จำเพียงแค่นี้ คือ ว่ามีนามธรรมกับรูปธรรม ๒ อย่าง ทั้งๆ ที่ ขณะนี้ก็เป็นนามธรรมจริงๆ เป็นรูปธรรมจริงๆ แต่ไม่สามารถที่จะไถ่ถอนการที่เคยยึดถือสภาพของนามธรรม และรูปธรรม เป็นเรา เป็นเขา เป็นบุคคล เป็นวัตถุสิ่งต่างๆ ได้
เพราะฉะนั้น จึงต้องฟัง ฟังแล้วฟังอีก จนกว่าความเข้าใจเรื่องสภาพธรรมจะเพิ่มมากขึ้น แล้วก็สามารถจะรู้ลักษณะแท้ๆ ของธรรมะได้ ไม่ใช่เพียงแต่เรียนเรื่องธรรมะเท่านั้น
เพราะฉะนั้น ก็ให้ทราบว่า เราจะต้องฟังเรื่องของสภาพธรรมะต่อไปอีกๆ จนกว่าจะรู้ลักษณะจริงๆ ของสภาพธรรมะ ขณะนี้ทางตาเป็นสิ่งที่มีจริงๆ มีเรื่องราวเยอะแยะที่เกี่ยวกับเรื่องตา แต่ถ้าไม่มีแสงสว่างที่จะปรากฏให้เห็นเป็นสิ่งต่างๆ เท่านี้ เรื่องราวต่างๆ ซึ่งกำลังจะเกิดต่อไป หรือกำลังเกิดอยู่ ในห้องนี้ ก็จะไม่มี ก็จะมีแต่เพียงความว่างเปล่า คือความมืด
เพราะฉะนั้น ถ้าคิดลึกๆ ว่าสิ่งต่างๆ ก็ปรากฏ เป็นเรื่องราวต่างๆ ก็ต่อเมื่อมีการเห็น ถ้าไม่มีการเห็น ตัดโลกออกไปเสียโลกหนึ่ง ก็จะมีแต่เพียงเสียงที่ได้ยิน กลิ่นที่ปรากฏ เย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็งที่ปรากฏ เรื่องราวก็คงจะน้อยลงไป เพราะขณะนี้เรื่องราวทางตามากมายเหลือเกิน เต็มไปด้วยสีสัน เต็มไปด้วยผู้คน วัตถุต่างๆ ลองคิดดู ว่า ถ้าเพียงไม่เห็นเดี๋ยวนี้ จะเหลือเรื่องเพียงนิดเดียวเท่านั้นเอง คือ เรื่องเสียง เรื่องกลิ่น เรื่องรส เรื่องสิ่งที่กระทบสัมผัส
เพราะฉะนั้น ถ้ามีทางตามากมาย ทางหูเยอะแยะ ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เกิดสืบต่อกันอยู่เรื่อยๆ อย่างนี้ แล้วเมื่อไรจะเห็นความจริงว่า เป็นแต่เพียงสภาพธรรมะแท้ๆ ซึ่งแม้ว่าจะไม่ใช้เรื่องราว หรือคิดเรื่องราวใดๆ ทั้งสิ้น สภาพธรรมะนั้นก็มีจริงๆ ซึ่งควรที่จะรู้ความจริงว่า สภาพธรรมะที่มีอยู่ มีปรากฏเพียงชั่วขณะ หรือชั่วคราว แล้วก็หมดไป ขณะนี้ถ้าสามารถจะประจักษ์ความจริงของสภาพธรรมะได้ สภาพธรรมะ ใดๆ ก็ตามซึ่งปรากฏไม่ว่าจะทางตา หรือทางหู หรือทางลิ้น หรือทางกาย หรือทางใจ ปรากฏชั่วขณะที่จิตที่กำลังปรากฏสภาพธรรมะนั้นเท่านั้น ซึ่งเร็วแสนเร็ว เพราะเหตุว่าไม่ประจักษ์การเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วมาก เราก็อยู่ในโลกของความคิด อยู่ในโลกของความทรงจำ อยู่ในโลกซึ่งไม่รู้สภาพของจิต และเจตสิก ที่กำลังเกิดดับจริงๆ
เพราะฉะนั้น ก็คงจะไม่มีอะไรมากมาย นอกจากว่าฟังต่อไปเรื่อยๆ ขาดการฟังไม่ได้ แล้วถ้ามีข้อสงสัยใดๆ ก็สนทนาในเรื่องที่สงสัย