รู้ เข้าใจ แล้วละ


    ผู้ฟัง เรียนถามอาจารย์ ในการเรียนรู้ และศึกษาสภาพของนามธรรม อันนี้เล่าถึงตัวเองนิดหนึ่งว่า มีครั้งหนึ่งก็กำลังพิจารณาธรรมะอยู่ แล้ก็คิดฟุ้งซ่านเรื่องอื่นไปด้วย คือสลับกันไป แล้วก็สภาพของโลภะก็ปรากฏชั่วขณะหนึ่ง แล้วหลังจากนั้นก็คิดนึกตาม มาว่า สภาพของโลภะที่ปรากฏนั้น ลักษณะติดข้องเหนียวแน่นมาก แล้วก็ไม่คลายเลย ซึ่งเป็นลักษณะที่ปรากฏเพียงชั่วขณะนั้น แล้วหลังจากนั้นก็คิดนึกต่อไปว่า ลักษณะของโลภะนี้ ถึงเราจะรู้ก็ตาม หรือไม่รู้ก็ตาม ก็จะติดข้องอยู่อย่างนั้น ถึงแม้เราไม่รู้ เราก็เป็นลักษณะที่ติดข้องอยู่ เรียนถามท่านอาจารย์ว่าการเรียนรู้ศึกษา จะต้องศึกษาเฉพาะในขณะที่เกิดขึ้น สภาพธรรมกำลังปรากฏ ว่าสามารถที่จะที่สภาพธรรมปรากฏแล้ว เรามาคิดนึกตามมาว่า ขณะนั้นมันยึดหน่วง แล้วติดข้องแล้วก็ไม่ละคลาย อะไรอย่างนี้คะ จะต้องศึกษาเฉพาะหน้าขณะนั้นที่สภาพธรรมปรากฏเท่านั้นเองหรือเปล่าคะ

    ส. นี่ก็เป็นความจริง เพราะขณะนี้ทุกคนเห็น แน่นอนรับรองได้ แล้วก็คิดยาว ขณะนี้ทุกคนกระทบสัมผัสสิ่งที่แข็ง นิดเดียว แต่ไม่คิดเรื่องนั้นเลย คิดเรื่องอื่นต่อไป เพราะฉะนั้น โลกของความคิดจะติดตามหลังจากที่สภาพธรรมะปรากฏทางหนึ่งทางใด ไม่ว่าจะเป็นทางตา หรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แม้แต่ขณะที่คุณสุนานกล่าว มีสภาพธรรมะปรากฏแล้วคิดยาวไปตลอด ก็คือชีวิตประจำวันจริงๆ แต่ว่าเปลี่ยนความคิด คือ แต่ก่อนพอเห็นก็คิดเรื่องอื่น ไม่ใช่เรื่องราวของธรรมะ คือคิดเรื่องของคนที่เห็น แต่ว่าเวลาที่จะเปลี่ยนความคิด เป็นเวลาที่สภาพธรรมะปรากฏ แล้วคิดเรื่องราวของสภาพธรรมะนั้น ก็ยังคงเป็นความคิด เพราะเหตุว่าบางท่านใคร่ที่จะปฏิบัติ แล้วก็อยากจะรู้ลักษณะของสภาพธรรมะ แม้แต่คำถามที่ว่าจะ รู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมะที่ปรากฏ เท่านั้นหรือ เฉพาะตรงนั้นหรือ ซึ่งเป็นการศึกษาที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมะ ตามความเป็นจริงเป็นอย่างนั้น คือ จิตเกิดแล้วดับ เจตสิกที่เกิดกับจิต ดับพร้อมจิต รูปก็กำลังเกิดแล้วดับ แต่ว่าการที่ประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมะที่เกิดดับอย่างเร็วมาก ไม่ใช่ไปประจักษ์โดยการคิดนึกเรื่องราว แต่ต้องเป็นขณะที่ระลึก แล้วปัญญาสามารถที่จะเข้าใจในลักษณะที่ไม่ใช่ตัวตนของสภาพธรรมะนั้น

    เพราะฉะนั้น จุดมุ่งหมายในการศึกษาธรรมะ และการปฏิบัติธรรมะ ไม่ใช่เพื่อที่จะไปเจาะจงให้รู้ลักษณะของสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏทางหนึ่งทางใดใน ๖ ทาง แม้ว่าความจริงต้องเป็นอย่างนั้น แต่จุดประสงค์ไม่ใช่จงใจที่จะไปรู้ด้วยความต้องการ แต่จะต้องเข้าใจว่า แม้สภาพธรรมะกำลังปรากฏเดี่ยวนี้ ก็ยังไม่สามารถจะรู้ความจริงของสภาพธรรมะนั้นได้ เพราะอะไร เพราะอวิชชามากมายเหลือเกิน เพียงฟังนิดๆ หน่อยๆ แล้วก็รู้ว่า ขณะที่กำลังเห็นก็เป็นสภาพธรรมะอย่างหนึ่ง แล้วก็จะต้องรู้ความจริง แต่ไมใช่ว่าเมื่อรู้อย่างนี้ จะต้องไปรู้ความจริงเดี๋ยวนี้ ตรงนี้ ซึ่งเป็นสิ่งซึ่งรู้ไม่ได้ เพราะเหตุว่าอวิชชามีมาก

    เพราะฉะนั้น ทางใดที่จะทำให้อวิชชาค่อยๆ ลดน้อยลง แล้วก็ความติดข้องต้องการก็ต้องลดน้อยลงด้วย เพราะเหตุว่าผู้ที่ศึกษาธรรมะ เข้าใจความหมายของคำว่า “อนัตตา” คือ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ไม่ใช่ตัวตน ไมใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล แม้แต่ปัญญาก็ไม่ใช่ของเรา หรือว่าไม่ใช่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ที่เราเพียรจะทำอย่างนี้ เพื่อที่จะให้ปัญญาเกิด แต่ต้องเป็นการอบรม ซึ่งเป็นการขัดเกลาอวิชชา ความไม่รู้ในลักษณะของสภาพธรรมะ

    เพราะฉะนั้น แทนที่จะไปพยายามให้สติที่ระลึกลักษณะของสภาพหนึ่ง แล้วก็พยายามจงใจที่จะให้รู้การเกิดดับของสภาพธรรมะนั้น นั่นไม่ใช่สิ่งที่จะเป็นไปได้ แต่การที่ฟังธรรมะ พิจารณาแล้วค่อยๆ เข้าใจธาตุแท้ๆ ของสภาพธรรมะแต่ละอย่างเพิ่มขึ้น ชินขึ้น ความเข้าใจอันนั้นทำให้เวลาที่ระลึกลักษณะของสภาพธรรมะ ปัญญาสามารถที่จะรู้ความจริง จนกว่าจะถึงสามารถที่จะละความที่เคยยึดถือสภาพธรรมะนั้นว่า เป็นตัวตนได้ ต้องค่อยๆ อบรมไป

    ผู้ฟัง อาจารย์คะ แต่ขณะที่พิจารณาตามมาหลังจากที่สภาพธรรมะปรากฏ เป็นความจำ จำได้ว่าลักษณะของสภาพธรรมะนั้นเป็นอย่างไร แต่ว่าเรามา ก็คือใส่ชื่อลงไป

    ส. ก็เป็นอย่างนี้ ก็เปลี่ยนเรื่องราวเป็นคิดเรื่องของสภาพธรรมะ

    ผู้ฟัง ซึ่งไม่ทราบว่า ตรงนั้นเราจะได้ประโยชน์ไหมว่า เราจะทบทวนลักษณะสภาพธรรมะที่ปรากฏในตอนนั้นว่า เป็นอย่างนี้ อย่างนี้

    ส. ประโยชน์ คือ รู้ เข้าใจแล้วละ

    อ.สมพร เราเข้าใจถูกต้องก็ได้ประโยชน์ เพราะว่าภายนอก สิ่งที่เราเห็นว่าเป็นปรมัตถ์ สิ่งที่มีอยู่จริง ภายในที่ว่าเห็น การเห็นก็เป็นปรมัตถ์มีอยู่จริง รู้จักปรมัตถ์ แต่ทั่วไปเราไม่รู้จักปรมัตถ์ เห็นทีไรก็เห็นคน เห็นสัตว์ ผู้เห็นก็เป็นคน เป็นสัตว์ ต้องศึกษาก่อน เพราะว่าไม่ศึกษาแล้ว จะไม่เห็นตามความเป็นจริงว่า สิ่งที่เห็นเป็นปรมัตถหรือเป็นบัญญัติ และผู้เห็นอีกอย่างหนึ่ง เป็นคนหรือเป็นจิต อะไรอย่างนี้


    Tag  สุนาน  
    หมายเลข 10014
    22 ส.ค. 2567