ขอให้เป็นธรรมที่ถูกต้อง
ผู้ฟัง ดิฉันเลยอยากจะกราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่า แต่ละคำพูดของแต่ละคน ซึ่งสอนกัน แล้วทำให้พ้นทุกข์ทางใจได้บ้าง จะเป็นลูกศิษย์เป็นอาจารย์กันมาแต่ชาติก่อน ได้อบรมกันมา เมื่อมาเจอกันก็เลยพ้นได้ คือว่า พอมาสอนกันอีกที ได้ยินเสียงหรือว่าได้ยินคำนั้นก็พ้นทุกข์ได้ ดิฉันอยากจะกราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่า มันมีสาเหตุอะไร ดิฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจ
ส. ชาติก่อนดิฉันเป็นใครก็ไม่ทราบ แล้วทุกท่านที่นั่งอยู่ที่นี้ ชาติก่อนเป็นใครก็ไม่มีใครทราบอีกเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ความคิดที่ว่า เคยพบกันมาก่อน หรือเคยฟังกันมาก่อน ก็เป็นสิ่งที่เพียงคิด แต่ความจริงไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ แล้วบางคนก็บอกว่า ชาติหน้าก็ขอไปฟังธรรมะอีก จริงๆ แล้วฟังธรรมะจากใครก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นคนนี้หรือคนนั้น ขอให้เป็นธรรมะที่ถูกต้อง แล้วก็สามารถจะเข้าใจได้
เพราะฉะนั้น ถ้าคิดถึงเมื่อ ๒,๕๐๐ กว่าปี แล้วบางท่านก็คงจะได้เฝ้าพระผู้มีพระภาคได้ฟังธรรม หรือว่าบางท่านก็อาจจะอยู่ไกลจากที่ที่พระผู้มีพระภาคทรงประทับ ก็มีโอกาสได้ฟังธรรมะจากสาวกของพระองค์ ก็เป็นได้ หรือบางท่านก็เป็นสาวกของเดียรถีย์ คือผู้ที่มีความเห็นอื่น ความเข้าใจอื่น
เพราะฉะนั้น เมื่อไม่รู้ว่าใครคือใคร แล้วต่อไปจะเป็นอะไรต่อไปก็ไม่ทราบ แต่ว่าผู้ที่ได้เคยฟังพระธรรมมาแล้ว ไม่ว่าจากใคร ก็มีการสะสมที่จะมีศรัทธา แล้วก็มีปัญญาที่สามารถที่จะพิจารณาธรรมที่ได้ฟังได้ถูกต้องว่า สิ่งใดเป็นความจริง แล้วก็สิ่งใดที่เป็นธรรมะที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง แล้วสิ่งใดไม่ใช่ธรรมะ
เพราะฉะนั้น ต่างคนก็ต่างมา แล้วต่างคนก็ต่างไป แล้วพอหมดสิ้นภพชาตินี้ ก็หมดความเป็นบุคคลนี้โดยสิ้นเชิง ลืมหมด ใครที่เคยคิดว่า อาจจะมีคนอุทิศส่วนกุศลให้เราก็ได้ ถ้าตายไปแล้ว เขาก็ทำบุญแล้วก็นั่งอุทิศส่วนกุศลให้เรา เราก็ไม่รู้ ไม่มีทางจะรู้ได้ ลืมหมด
เพราะฉะนั้น แต่ละชาติก็เป็นเรื่องสภาพของจิต เจตสิก รูป ซึ่งเกิดดับ สืบต่อ แล้วก็มีสมมุติมรณะ คือความตายโดยสมมุติ ซึ่งไม่ใช่การตายโดยสิ้นเชิง เพราะเหตุว่าเมื่อจุติจิตขณะสุดท้ายของชาติหนึ่งดับ ปฏิสนธิจิตของชาติต่อไปก็เกิด แล้วก็จะจำไม่ได้ ถ้าไม่เจอกัน หรือเจอกันก็ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร เพราะว่าหมดสิ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้โดยสิ้นเชิง
เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องที่สะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูก เพื่อที่ว่าเมื่อได้ฟังความเห็นถูกอีกในชาติต่อๆ ไป จากใครก็ได้ แต่ก็สามารถที่จะเข้าใจธรรมะได้