เข้าใจในขณะนี้ไปเรื่อยๆ
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ครับ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า ขณะใดที่จิตเป็นกุศล หรือจิตเป็นอกุศลในชีวิตประจำวัน
ท่านอาจารย์ ถ้าสติไม่ระลึก เราจะรู้เรื่องราวของจิตเท่านั้น หลายคนก็คงจะพบในชีวิตประจำวันของตัวเอง เวลาไปเที่ยวที่ไหน หรือว่าเห็นดอกไม่สวยๆ ก็ตื่นเต้น ก็มีคนที่ศึกษาธรรมะก็บอกว่า โลภะๆ พอทานอาหารอร่อยก็โลภะ พอทำอะไรที่สนุกสนานก็
โลภะ เรียกชื่อของโลภะ แต่ว่าตัวโลภะจริงๆ ต่างกับจิตเห็นหรือเปล่า
นี่แสดงให้เห็นว่า เราเรียนเรื่องราว แต่ก็ทำให้เราเข้าใจถูกขึ้นว่า ไม่ใช่เราโดยขั้นคิด ว่าต้องเป็นนามธรรม และแม้แต่ความติดข้องขณะนั้นก็เป็นสภาพธรรมะที่มีจริง แต่ตอนที่เรียกว่า โลภะ ไม่ได้รู้ลักษณะของโลภะ
เพราะฉะนั้น การศึกษาก็ต้องเป็นเรื่องที่ละเอียดรอบคอบ แล้วก็ต้องรู้จริงๆ ว่าปัญญาระดับไหน เพราะว่าปัญญาต้องเจริญขึ้นๆ ๆ จนกว่าสามารถจะประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรมะที่กำลังเกิดดับในขณะนี้
เพราะฉะนั้น จะข้ามขั้นไม่ได้เลย จะพยายามให้ไปถึงขณะที่รู้ลักษณะของนามธรรม และรูปธรรม โดยที่ลักษณะของธาตุนั้นๆ กำลังปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่ไม่ใช่หมายความว่า ไม่มีหนทางที่จะเป็นอย่างนั้น หนทางมี แต่ผู้นั้นเป็นผู้ตรง ซึ่งสภาพธรรมะกำลังปรากฏขณะนี้ ฟังมาว่าไม่ใช่เรา เป็นธาตุรู้ แล้วก็สิ่งที่ปรากฏก็มีจริงๆ แล้วก็ไม่ต้องไปนึกคิดว่า เป็นคน เป็นสัตว์เพราะว่าสิ่งที่ปรากฏนั้นสามารถจะปรากฏเพียงทางตา แล้วใจก็ไปนึกถึงเรื่องราวต่างๆ แต่สิ่งที่ปรากฏทางตาก็เพียงสามารถจะปรากฏเป็นสีสันวัณณะต่างๆ เท่านั้น
เพราะฉะนั้น การฟังธรรม ฟังแล้วก็ไม่ทิ้งไป ระลึกพิจารณาไตร่ตรอง ค่อยๆ เป็นความเข้าใจขึ้น แล้วขณะใดที่สติปัฏฐานเกิดก็ต่างกับที่หลงลืมสติ เพราะเหตุว่ามีลักษณะของสภาพธรรมะซึ่งปกติก็ปรากฏ แต่ไม่เคยระลึก แล้วก็ไม่เคยรู้ แต่ว่าขณะใดที่สติปัฏฐาน เกิดก็เป็นสภาพธรรมปกติธรรมดาอย่างนี้ แต่ว่ามีการระลึกที่ลักษณะซึ่งเป็นสภาพธรรม จริงๆ แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจว่า ลักษณะนั้นเป็นสภาพรู้ ซึ่งต่างกับสิ่งที่ปรากฏจนกว่าลักษณะของธาตุรู้จะปรากฏจริงๆ ว่า ธาตุรู้เป็นอย่างไร ต่างกับรูปธาตุอย่างไร ก็ค่อยๆ อบรมไปเรื่อยๆ
ผู้ฟัง คือฟังท่านอาจารย์มาถึงตรงนี้ ก็รู้ว่า แม้กระทั่งในขณะนี้เอง ในขณะที่เห็นหรือได้ยิน หรือได้ฟังท่านอาจารย์พูด กุศลจิตหรืออกุศลจิต ก็อาจจะสามารถเกิดขึ้นได้ ท่านอาจารย์ก็พูดต่อไปอีกนิดหนึ่งว่า สติในขั้นการฟัง สติที่เกิดขึ้นรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงอยู่ในขณะนี้ ที่เป็นกุศลจิตหรืออกุศลจิต
เพราะฉะนั้น ก็ใคร่จะขอทำความเข้าใจว่า สติในขั้นที่จะรู้ว่า ในขณะใดที่กุศลจิตเกิด หรืออกุศลจิตเกิด สติของเขามีสภาพลักษณะซึ่งเราสามารถรู้ได้ด้วยการฟัง การเข้าใจในขณะนี้ไหมครับ ท่านอาจารย์ ครับ
ท่านอาจารย์ ก่อนอื่นยังไม่ต้องคิดเรื่องของกุศลจิต และอกุศลจิต แต่รู้ลักษณะที่ต่างกันของนามธรรม และรูปธรรม เพราะว่าถ้าไปคิดถึงชื่อว่า อกุศลจิต แต่ลักษณะซึ่งเป็นนามธรรมไม่ได้ปรากฏเลยว่า ลักษณะที่เป็นนามธรรม คือ ไม่ใช่เรา ลักษณะของนามธรรมเป็นอย่างนั้น
เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ไปแจกแจงก่อน แต่หมายความว่าเรายึดถือสภาพที่เป็นนามธรรมกับรูปธรรมว่าเป็นเรา เพราะฉะนั้น การที่จะละความยึดถือได้ ก็ต่อเมื่อรู้ในลักษณะที่เป็นนามธรรมจริงๆ มั่นคงขึ้น รู้ชัดขึ้น ประจักษ์แจ้งในธาตุซึ่งเป็นนามธาตุ แล้วก็จะรู้ว่า ไม่ว่าเป็นโลภะหรือโทสะก็คือนามธาตุหรือนามธรรมทั้งหมด
ผู้ฟัง คือในขั้นการฟัง เราฟังแล้วก็เข้าใจ ในขณะที่เห็น จะเห็นไม่ได้เลย ถ้าไม่มีจิตเกิดขึ้นรู้ในขณะเห็น คือสภาพรู้สิ่งที่กำลังเห็น แล้วก็นึกคิดไปต่างๆ นานา ที่เห็นเป็นรูป เป็นไมโครโฟน เป็นแก้วน้ำ เป็นอะไร ในขั้นการฟัง เราก็รู้ว่า เป็นเพียงสภาพธรรมะต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้นแล้วก็ดับ แต่เราก็ยังมีความรู้สึกว่า เป็นนายประทีปกำลังเห็น กำลังได้ยิน
ท่านอาจารย์ นายประทีปไม่ไม่หมดจนกว่าจะเป็นพระโสดาบัน
ผู้ฟัง จะต้องฟัง หรือจะต้องทำความเข้าใจอย่างไร
ท่านอาจารย์ เข้าใจในขณะนี้ไปเรื่อยๆ แล้วสติเกิด ก็ค่อยๆ เข้าใจสภาพธรรมทีละเล็ก ทีละน้อย ต้องไม่ลืมคำว่า ทีละเล็กทีละน้อย
ผู้ฟัง เข้าใจในขั้นการฟังพอเข้าใจ แต่ว่าเราจะรู้ได้อย่างไรว่า ในขณะที่เราเข้าใจในขั้นการฟังแล้วว่า เป็นเพียงสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏเกิดขึ้น เกิดดับสืบเนื่องโดยไม่ขาดสาย มันไม่มีอะไรเลย แล้วเราจะเข้าใจสภาพธรรมะอย่างนั้นได้อย่างไร
ท่านอาจารย์ เมื่อสติ ระลึก ไม่ใช่ครั้งเดียว ไม่ใช่ร้อยครั้ง แล้วแต่ จนกว่าจะรู้จริงๆ
ผู้ฟัง ถ้าสติระลึก ก็จะต้องรู้ว่า ในขณะที่เรากำลังสนทนากันนี้ สภาพธรรมะ ต่างๆ เหล่านี้ก็มีจริง
ท่านอาจารย์ ลักษณะรู้เป็น ลักษณะรู้
ผู้ฟัง ลักษณะรู้ ซึ่งเราจะต้องใส่ใจเดี๋ยวนี้เลยครับว่า ใครกำลังฟังแล้วเข้าใจอะไรบ้าง อย่างนี้ใช่ไหมครับ
ท่านอาจารย์ ถ้าเอารูปออกหมด สีไม่มีปรากฏเลย เสียงไม่มีปรากฏเลย กลิ่นไม่ปรากฏ รสไม่ปรากฏ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหวไม่ปรากฏ ก็ยังมีธาตุรู้ นั่นคือลักษณะของสภาพซึ่งเป็นธาตุรู้ล้วนๆ จริงๆ ซึ่งต้องแยกออกจากสิ่งที่ปรากฏทางตาขณะนี้ หรือเสียงที่ปรากฏทางหูขณะนี้
ผู้ฟัง พอฟังมาถึงขั้นนี้แล้ว เราก็รู้สึกว่า ความรู้ต่างๆ ที่เราได้อ่านมา หรือได้ฟังมา มันไม่ได้อยู่ในตัวหนังสือ แต่มันมาอยู่ที่สภาพจิตของเราที่กำลังรู้สิ่งๆ นั้น ใช่ไหมครับ
ท่านอาจารย์ ก็ต้องค่อยๆ พิจารณาไป อย่าลืม ค่อยๆ พิจารณา จากไม่รู้ค่อยๆ รู้ขึ้นทีละน้อย แล้วก็ยังสงสัย ก็ยังสงสัย จนกว่าจะหมดความสงสัย ถ้ายังไม่รู้ จะให้เป็นความรู้ไม่ได้ ถ้ายังสงสัยจะให้เป็นความเข้าใจชัดไม่ได้ แต่อบรมความรู้ความเข้าใจไปเรื่อยๆ จนกว่าจะรู้ชัดจริงๆ