เข้าใจธรรม...ตรงนี้


    ผู้ฟัง อยากทราบว่า ใครคือผู้ที่ตีความ ธรรม ซึ่งเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าถูกที่สุด

    ท่านอาจารย์ สนใจเรื่องปัญญาไหม เพราะว่าพระพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าด้วยพระปัญญา ไม่ใช่ด้วยอย่างอื่น และปัญญาที่เป็นปัญญาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ต้องไม่มีผู้ใดอีก ที่จะไปเปรียบได้ ไม่ใช่ว่าอาจารย์ท่านโน้นหรือท่านนี้ เพราะฉะนั้นถ้าเป็นผู้ที่ศึกษาธรรมจริงๆ ก็เริ่มที่จะเข้าใจว่า คนอื่นไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ว่าจะพูดอะไรก็ตามก็ต้องพิจารณาดูว่า ธรรมที่ทรงแสดง เป็นความจริงแค่ไหน อย่างพูดถึงเรื่องธรรม ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เท่านี้ก่อน จริงหรือเปล่า ต้องพิจารณาเป็นขั้นๆ ไป ว่าจริงไหม ยังไม่ต้องมีใครทั้งนั้น ไม่ต้องเอาชื่ออื่นเข้ามาเลย

    ขณะนี้ เห็น เป็นธรรมชนิดหนึ่ง เป็นสิ่งที่มีจริงๆ จริงหรือเปล่า เพราะคิดว่าคงจะอยากได้เหตุผล ใช่ไหม ที่ไม่ไปปฏิบัติ เป็นธรรมหรือเปล่า เห็น เป็นของจริงหรือเปล่า หรือไม่ใช่ พูดเรื่องอื่น ไม่ใช่เรื่องนี้เป็นความจริง สัจธรรมสิ่งที่มีจริงๆ จริงตลอดกาล เพราะว่า เห็น ไม่ว่าจะเห็นชาติก่อน ก็ต้องมีลักษณะอย่างนี้ ขณะนี้เห็น ก็เห็นสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ไม่ว่าชาติไหน ภาษาไหนแม้แต่สัตว์ ที่มีตา เห็นก็คือเห็น

    เพราะฉะนั้นเป็นสภาพธรรมที่ไม่มีเจ้าของ เพราะว่ามีเหตุปัจจัย จึงเกิดแล้วก็ดับ ถ้าไม่มีใครที่ตรัสรู้ความจริงอย่างนี้ เราสามารถจะคิดเองได้ไหม ว่าขณะนี้เป็นธรรมที่ไม่ใช่เรา

    ผู้ฟัง คงไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เพราะฉะนั้นต้องอาศัย การเป็นสาวก คือ ผู้ฟังธรรมจากผู้ที่ตรัสรู้แล้วพิจารณา เมื่อพิจารณาแล้ว เมื่อสักครู่ ก็ตอบว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้นธรรม คือ ทุกอย่างที่มีจริงๆ ความเห็นถูก เป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ ความเห็นผิด เป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ก็เป็น

    ท่านอาจารย์ ก็เป็น กุศล สิ่งที่ดี สภาพธรรมที่ดี เป็นธรรมหรือเปล่า ที่ไม่ดีก็เป็นธรรม ทั้งหมดไม่ใช่เรา และทำอย่างไรจะรู้ความจริงในขณะนี้ ซึ่งขณะนี้เป็นขณะหนึ่ง ชีวิตทุกคนดำรงอยู่เพียงชั่วจิตหนึ่งขณะที่เกิดขึ้น ถ้าจิตไม่เกิดก็ไม่มีแล้ว ชีวิตไม่มี ไม่มีคน ไม่มีสัตว์ แต่เมื่อมีสภาพธรรมที่เกิดขึ้น แล้วก็เห็น แต่ไม่เคยรู้ความจริง แต่เมื่อมีผู้ที่ตรัสรู้ และทรงแสดงว่า สิ่งนี้จริง และสอนให้เราเข้าใจขึ้นๆ จนกระทั่งความเข้าใจ สามารถจะเข้าใจตัวจริงของธรรมที่กำลังเห็น ว่าเป็นธรรมที่เป็นนามธรรม ไม่ใช่รูปธรรม เพราะว่าธรรมมี ๒ อย่าง ไม่ว่าจะอยู่ในโลกนี้ หรือโลกไหนก็ตาม คือ สภาพธรรมอย่างหนึ่งเกิด และก็ต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด ส่วนสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่งเกิด แล้วก็ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย ซึ่งใช้คำว่า รูปธรรม สำหรับสภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร แล้วก็สภาพรู้ก็เป็นนามธรรม นี่จริงไหม ก็จริง

    เพราะฉะนั้นก็ต้องฟังจนกระทั่งมีความเข้าใจในความเป็นอนัตตา จนกระทั่งสามารถที่จะประจักษ์แจ้ง ลักษณะของสภาพธรรม ซึ่งปรากฏทีละอย่าง และเกิดแล้วก็ดับ นี่คือการอบรมเจริญปัญญา ไม่ใช่ให้ทำอย่างอื่น

    เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปที่ไหน ที่นี่ก็มีสภาพธรรมปรากฏ อยู่ที่ไหนก็มีสภาพธรรมปรากฏ แต่ไม่รู้เพราะไม่ได้ฟัง แล้วก็ไม่มีปัจจัยพอที่จะมีการเข้าใจสภาพธรรม ซึ่งเป็นตัวจริงๆ จนกว่าจะฟัง แล้วก็มีปัจจัยพร้อมที่จะมีการเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ตรงตามความเป็นจริงอย่างนั้น ซึ่งเป็นเรื่องของการอบรม ซึ่งใช้คำว่า ภาวนา ไม่ใช่ท่องบ่น หรือไม่ใช่ปฏิบัติ ไม่ใช่ตัวเราทำ แต่ว่าเป็นการทำหน้าที่ของสภาพธรรมแต่ละอย่าง ถ้าเข้าใจขึ้นอย่างนี้จริงๆ ต้องไปที่ไหนไหม

    ผู้ฟัง จริงๆ ก็ไม่ต้องไปที่ไหนก็ได้ แต่ท่านอาจารย์กล่าวว่า ณ ที่นี้ก็มีธรรมปรากฎ นัยกลับกัน ณ ตรงนั้น ที่นั่นก็มีธรรมปรากฎด้วย

    ท่านอาจารย์ เวลานี้อยู่ที่ไหน

    ผู้ฟัง ตรงนี้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเข้าใจธรรมตรงไหน

    ผู้ฟัง ตรงนี้

    ท่านอาจารย์ ทำไมถึงจะต้องไปที่อื่น เพื่อที่จะเข้าใจ ในเมื่อสภาพธรรมมีตรงนี้ สามารถจะเข้าใจตรงนี้ได้ ทีละเล็กทีละน้อย ก็จะเข้าใจธรรม ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนทั้งสิ้น แต่ถ้าตรงนี้ไม่เข้าใจ แล้วคิดว่าจะไปเข้าใจตรงอื่น เป็นไปได้หรือ

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ไม่เชื่อในเรื่องปาฏิหาริย์ ที่พระพุทธองค์ ทรงยกย่องท่านหนึ่งที่เทศนาได้ตรงใจ

    ท่านอาจารย์ อย่างไรก็ตามแต่ แต่ประโยชน์ของผู้ฟัง คือ ความเข้าใจ จากการที่ได้ยิน และไตร่ตรอง เพราะว่าถ้าเพียงแต่ได้ยิน ก็ผ่านหูไปเฉยๆ ยังไม่เป็นความเข้าใจ แต่ผู้ที่จะเข้าใจธรรมลึกลงไปอีก ชัดเจนลงไปอีก ละเอียดลงไปอีก ก็คือว่า เมื่อได้ยินแล้วก็ไตร่ตรองเพิ่มขึ้น จนกระทั่งเป็นความรู้จริงๆ


    หมายเลข 10047
    9 ก.ย. 2567